สวัสดีค่ะ บลอกความงาม ยินดีต้อนรับค่ะ พบกับ เรื่องราวสาระดี ๆ เกี่ยวกับความงามและสุขภาพ พร้อมทั้งแนะนำแหล่งชอปปิ้ง สินค้าด้านความงาม ลดราคาสุดพิเศษ ถูกมาาาาก จนต้องตะลึง...
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ สาระน่ารู้ แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ สาระน่ารู้ แสดงบทความทั้งหมด

วันอังคารที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2555

น้ำมันลูกเดือย ช่วยขับปัสสาวะ บำรุง ปอด ม้าม ตับ กระเพาะอาหาร

น้ำมันลูกเดือย แค่ชื่อ ก็แปลกแล้ว !

ลูกเดือย มีน้ำมันด้วยเหรอ ? ...ความจริง คือ ลูกเดือย มีไขมันเพียง 5% เท่านั้น...

ถ้างั้น น้ำมันลูกเดือย ผลิตมาได้ไง ?

จากการค้นข้อมูล พบว่า ปัจจุบัน มีการสกัดสารอาหารในธัญพืช หรือ พืชสมุนไพร ต่าง ๆ มาไว้ในน้ำมันพืชสกัดเย็น สมุนไพรที่นำมาสกัด มีหลากหลายชนิด ได้แก่ น้ำมันขิง น้ำมันข่า น้ำมันผิวส้ม น้ำมันลูกเดือย เป็นต้น ส่วนกรรมวิธีการผลิตนั้น ผู้เขียนจะนำมาเล่าให้ฟังคราวหน้านะคะ

กลับมาเข้าเรื่อง น้ำมันลูกเดือย กันค่ะ ผู้เขียนได้ทดลองรับประทาน น้ำมันลูกเดือย โดยใช้สูตร น้ำมันลูกเดือย 1 ช้อนโต๊ะ ผสมกับ โยเกิร์ต 1 ถ้วย บางครั้งก็ทานเปล่า ๆ ผสมเครื่องดื่มบ้าง อะไรบ้าง ไปตามเรื่อง ซึ่งจากที่ศึกษามา พบว่า ลูกเดือย มีประโยชน์มากมายจริง ๆ สรรพคุณ ที่ผู้เขียนสนใจ ได้แก่ บำรุงปอด ตับ ม้าม กระเพาะอาหาร แก้โรคทางเดินหายใจ (เพราะผู้เขียนเป็นภูมิแพ้) บำรุงเส้นผม และ ผิวหนัง (แวะมาเรื่องความงามนิดนึง ให้สมกับเป็นบลอกความงาม )

เมื่อทดลองรับประทาน ก็ไม่ได้คาดหวังอะไรค่ะ ทานไปงั้น ๆ เอง

ปรากฏว่า ภายหลังจากทานไปได้ 2-3 วัน (2-3 ช้อนโต๊ะ อ่ะนะ - เพราะทานครั้งละ 1 ช้อนโต๊ะ) พบว่า ปัสสาวะได้มากขึ้น อย่างเห็นได้ชัด (แต่ไม่ใช่ปัสสาวะถี่ ๆ แบบอาการปัสสาวะขัด-หรือ โรคนิ่ว ) ตอนแรกก็ลืม ไม่คิดว่าจะเกี่ยวข้องกับน้ำมันลูกเดือย คิดว่า ตัวเอง คงเป็นโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ อีกแล้ว แต่ครั้งนี้ ไม่มีอาการอักเสบ เจ็บปวดใด ๆ อาการขับปัสสาวะ นี้ เด่นชัดกว่าอย่างอื่น แล้วก็รู้สึกทนกับมลพิษทางอากาศได้มากขึ้น (น้ำมูกยังไม่ไหล-แต่ก็ไม่ประมาท คงต้องหาหน้ากากป้องกัน ในเร็ว ๆ นี้ )

ผู้เขียนก็เลยสงสัยว่า ขับปัสสาวะ ไปทำไม? ลองค้นข้อมูลดู พบว่า

ในทางการแพทย์ ยาขับปัสสาวะใช้รักษา

หัวใจล้มเหลว (heart failure)
โรคตับแข็ง (liver cirrhosis)
ความดันโลหิตสูง (hypertension)
โรคไต (kidney disease)

ยาขับปัสสาวะสามารถบรรเทาโรคดังกล่าวได้เพราะมันทำให้ร่างกายขับโซเดียมและน้ำ ไปพร้อมกับปัสสาวะ ยิ่งมีปัสสาวะมากเท่าไรน้ำและโซเดียม ซึ่งเป็นต้นเหตุของอาการบวมน้ำ (edema) ก็จะลดลง และอาการบวมน้ำก็ลดลง ยาขับปัสสาวะบางตัวเช่นอะเซตาโซลาไมด์ ทำให้ปัสสาวะเป็นด่างซึ่งเป็นการช่วยเพิ่มการขับถ่ายยาแอสไพรินในกรณีการใช้ยาเกินขนาด

อ้างอิง : http://th.wikipedia.org/wiki/
อืมม...หากขับปัสสาวะ แล้ว ช่วยกำจัดสารพิษในร่างกายไปด้วย ก็น่าจะดีนะ

อย่างไรก็ดี ผู้เขียน หวังว่า ปอด ตับ กระเพาะอาหาร จะแข็งแรงขึ้น อาการภูมิแพ้ จะดีวันดีคืน ในเร็ววัน

[ ... ]

วันพฤหัสบดีที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2555

กรดโคจิก สารช่วยให้ผิวขาว โคจิกแอซิด ผลิตมาจากอะไร

กรดโคจิก (Kojic Acid) เป็นสารผลิตภัณฑ์ธรรมชาติที่ได้จากการหมักกลูโคสกับเชื้อรา Aspergillus (เชื้อราที่เจริญเติบโตได้ดีในธัญพืช เช่น ถั่ว แป้ง ในเต้าเจี้ยว ซีอิ๊ว หรือ เหล้าสาเก) เป็นสารที่ช่วยให้ผิวขาว ด้วยคุณสมบัติที่โดดเด่น ในการป้องกันการเกิดอนุมูลอิสระ และ ยับยั้งการสร้างเม็ดสี (melanin) ช่วยลดความหมองคล้ำตามวัย และ จุดด่างดำ อันเนื่องมาจากแสงแดด ลดปัญหาผิวลาย และ สีผิวไม่เสมอ (เช่น ฝ้า กระ)

แต่เป็นที่น่าเสียดายที่ กรดโคจิก (Kojic acid โคจิกแอซิด) เป็นสารที่มีความคงตัวต่ำ มักจะเปลี่ยนสี และไม่ทนต่อความร้อน แสง และ ความเป็นกรดด่าง จึงมีการนำกรดโคจิกในรูปแบบของเอสเทอร์ หรือ ที่มีชื่อเรียกว่า กรดโคจิก ไดพาลมิเทท Kojic Acid Dipalmitate มาใช้แทน

ซึ่งกรดโคจิกไดพาลมิเทท นี้ สามารถละลายได้ในน้ำมันแร่ และ เมื่อผลิตเป็นครีม จะมีคุณสมบัติซึมซาบสู่ผิวได้เร็ว นอกจากนี้ เอนไซม์เอสเทอเรส ที่ผิวหนัง จะทำให้กรดโคจิกใน Kojic Dipalmitate ถูกปล่อยออกมาอย่างช้า ๆ ทำให้กรดโคจิก ทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

ปัจจุบัน ได้ีมีการนำ กรดโคจิก ไดพาลมิเทท มาใช้ในการผลิตเครื่องสำอาง ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวเพื่อผิวขาว กันอย่างแพร่หลาย เช่น การทำสบู่โคจิก สบู่โคจิก-เมล็ดองุ่น สบู่โคจิก-มะละกอ สบู่โคจิก-น้ำนมแพะ เป็นต้น

อ้างอิง :
Kojic Acid Dipalmitate

[ ... ]

วันศุกร์ที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2554

การนอนหลับยาวอาจมีผลกระทบต่ออายุสมอง 4-7 ปี

จากงานวิจัยในวารสาร SLEEP ฉบับเร็ว ๆ นี้ ได้กล่าวถึง ระยะเวลานอนหลับ ที่แตกต่างกันไป ในช่วง 5 ปีของอายุมนุษย์ ส่งผลกระทบกับการทำงานของสมองในระยะเวลาต่อมาอย่างไร* พบว่า หากเรานอนหลับได้นาน 6-8 ชั่วโมง ดูเหมือนว่า ร่่างกายจะมีการตอบสนองต่อสิ่งแวดล้อมได้อย่างเป็นปกติ


หากนอนหลับ น้อยกว่า หรือ มากกว่า 6-8 ชั่วโมงต่อคืน อาจส่งผลให้อัตราการเสื่อมของสมองเร็วขึ้น เทียบเท่ากับ ระยะเวลาถึง 4-7 ปี

"ผลลัพธ์หลัก จากการวิจัยของเราคือ การเปลี่ยนแปลงช่วงเวลาในการนอนหลับ ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับ ความเสื่อมมากขึ้นของสมองในช่วงอายุกลางคน" เป็นคำกล่าวของ Jane Ferrie, PhD, นักวิจัยอาวุโส ของ University College London Medical School Department of Epidemiology and Public Health ในประเทศอังกฤษ

ข้อมูลนี้ได้มาจาก Whitehall II study ที่ได้วิจัยจากประชากรชาวลอนดอน กว่า หนึ่งหมื่นคน ในช่วงอายุ 35-55 ปี

"ผลกระทบที่เลวร้ายต่อสุขภาพในด้านต่าง ๆ จากการนอนมากเกินไป การนอนน้อยเกินไป และ การหลับไม่สนิท ได้รับความสนใจมากขึ้น" Ferrie เสริม

"ส่งผลให้การใช้เวลา ตลอด 24 ชั่วโมง 7 วันในหนึ่งสัปดาห์ ในสังคม ของหลาย ๆ คน ได้รับผลกระทบเพิ่มขึ้น

สิ่งที่ควรจะพิจารณามากขึ้นคือ จะเกิดผลกระทบอะไรบ้าง ต่อสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี ในระยะยาว จากการเปลี่ยนแปลงช่วงเวลาในการนอนหลับของเรา"


*Sleep. 2011 May 1;34(5):565-73.



อ้างอิง

Sleep Length May Affect Cognitive Aging 4 to 7 Years


[ ... ]

วันพุธที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2554

เกรพฟรุท ผลไม้ลดความอ้วน เกรพฟรุท ยามหัศจรรย์

จากงานวิจัย พบว่า ผู้ที่รับประทานเกรพฟรุท ครึ่งผล ก่อนอาหาร สามมื้อต่อวัน ทำให้น้ำหนักลดลง โดยเฉลี่ย 1.6 กก. (3.6 pounds) ในสามเดือน อีกงานวิจัยหนึ่ง ระบุว่า การที่ร่างกายได้รับวิตามินซีในปริมาณมาก (เช่น วิตามินซีที่มีอยู่ในเกรพฟรุท) จะช่วยให้ร่างกายเผาผลาญไขมันเพิ่มขึ้นได้อีก 30% ในขณะออกกำลังกาย

น้ำมันหอมระเหย เกรพฟรุท ใช้ในทางบำบัดด้วยกลิ่น โดยช่วยสลายความเศร้าได้

การใช้ เกรพฟรุทสด ๆ ทาผิว ช่วยขจัดสิวได้ ด้วยฤทธิ์ฆ่าเชื้อที่ก่อให้เกิดสิว

การรับประทานเกรพฟรุท ช่วยป้องกันการติดเชื้อ จากโรคต่าง ๆ ได้

สารสกัดจากเมล็ดเกรพฟรุท มีคุณสมบัติพิเศษในการป้องกันการติดเชื้อแบคทีเรีย และ เชื้อรา ทั้งภายในและ ภายนอกร่างกาย


อ้างอิง

Grapefruit, the 'Wonder Drug': Eat Grapefruit to Fight Fat

Laurel House
Mclatchy-Tribune News Service.

10-26-11






เกรพฟรุท (Grapefruit) เป็นผลไม้คล้ายส้ม มีรสเปรี้ยว ผลมีเปลือกสีเหลือง รูปกลมแป้น ขนาดผลประมาณ 10-15 ซม. เนื้อผลแบ่งเป็นกลีบแบบส้มสีออกแดงทับทิม

นิยมปลูกในสหรัฐอเมริกา แถบฟลอริดา เท็กซัส แอริโซนา และ แคลิฟอร์เนีย
[ ... ]

วันอังคารที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ประโยชน์ของวิตามินซีเพื่อผิวขาว ชนิดทา หรือ ชนิดรับประทาน อย่างไหนดีกว่ากัน

สาเหตุหนึ่งที่ทำให้ผิวหมองคล้ำ เกิดริ้วรอย แลดูแก่ก่อนวัย มาจาก รังสี UV ในแสงแดด และ ภาวะมลพิษ อนุมูลอิสระต่าง ๆ

วิตามินซี เป็นองค์ประกอบที่จำเป็นในการสร้างคอลลาเจน และ เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยลดการทำลายเซลล์ผิวหนังจากแสงแดดได้ และ ยังช่วยส่งเสริมหน้าที่กักน้ำให้กับเซลล์ผิวอีกด้วย

กระบวนการต้านอนุมูลอิสระของวิตามินซีนี้เอง ช่วยลดการก่อให้เกิดเม็ดสีที่ไม่สม่ำเสมอ ที่เป็นสาเหตุของการเกิดฝ้า และ ความหมองคล้ำ จึงทำให้ผิวแลดูกระจ่างใส ขาวขึ้น

นอกจากนี้ วิตามินซี ยังไปเพิ่มการสร้างคอลลาเจน และลดกระบวนการทำลายคอลลาเจน ทำให้ผิวเต่งตึง หน้าเด้ง ผิวอ่อนกว่าวัย เซลล์ผิวชุ่มชื้น มีสุขภาพดี อีกด้วย

แต่เป็นที่น่าเสียดายที่ วิตามินซีเป็นวิตามินที่ละลายน้ำ และ มีความคงตัวต่ำ เมื่อรับประทานวิตามินซีเข้าไป ระบบลำเลียงต่าง ๆ ของร่างกาย มีข้อจำกัดในการดูดซึมวิตามินซีเข้าไป จึงนำไปใช้งานได้ส่วนหนึ่ง ส่วนใหญ่จะขับออกอย่างรวดเร็ว ทำให้วิตามินซีที่ผิวหนัง ที่ได้จากการรับประทาน ไม่มีความเข้มข้นเพียงพอที่จะช่วยต้านอนุมูลอิสระ และ เพิ่มปริมาณคอลลาเจน รวมถึงลดการทำลายคอลลาเจน ดังกล่าว

วิธีการที่ดีที่สุดในการให้วิตามินซีกับผิวหนัง คือ การทาวิตามินซีกับผิวหนังโดยตรง วิตามินซีที่นิยมใช้กับผิวหนัง ได้แก่ Vitamin C Serum  หรือ ครีมวิตามินซีเข้มข้น


จากงานวิจัย พบว่า การทาวิตามินซี กับผิวหนัง โดยตรง จะทำให้ผิวได้รับวิตามินซี มากกว่า การรับประทานวิตามินซี ถึง 20 เท่า

การใช้ VITAMIN C SERUM จึงเป็นการปกป้องผิวไม่ให้แก่ก่อนวัย และ ช่วยให้ผิวอ่อนเยาว์จากภายในสู่ภายนอก เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ผิวมีความเสื่อมจากวัย


การใช้เซรั่ม วิตามินซี ให้เหมาะสมกับผิวพรรณ ควรใช้เป็นประจำ เช้า-ก่อนนอน หรือ ตามที่ต้องการ



อ้างอิง

60% OFF Vitamin C Serum for The Face (with Tea Extract)

Revitalize Aging Skin with Topical Vitamin C

[ ... ]

วันอังคารที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

วิธีทดสอบสารอันตรายในเครื่องสำอาง How to Test Hazardous Materials in Cosmetic

สารอันตรายที่กระทรวงสาธารณสุข ได้ประกาศห้ามใช้ ใีนการผลิตเครื่องสำอาง ที่สำคัญและมีบทบาทก่อให้เกิดอันตรายทั้งด้านผิวพรรณ และ สุขภาพ ได้แก่


1. สารไฮโดรควิโนน ในครีมทาฝ้า มีฤทธิ์ในการยับยั้งกระบวนการสร้างเม็ดสีของผิวหนัง(เมลานิน) ทำให้หน้าขาวขึ้น แต่เป็นการลดการสร้างเมลานินเพียงชั่วคราวเท่านั้น หากหยุดใช้ครีมทาฝ้าดังกล่าว สีผิวจะกลับเป็นอย่างเดิมหรือเป็นมากกว่าเดิม ข้อดีของสารไฮโดรควิโนนคือ ไม่ทำลายเซลล์สร้างสี แต่มักทำให้เกิดการระคายเคือง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อใช้ร่วมกับกรดวิตามินเอ และหากใช้ไฮโดรควิโนนติดต่อกันเป็นเวลานานเกินกว่า 6 เดือน จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของเนื้อเยื่อภายในผิวหนังทำให้เกิดเป็นฝ้าถาวรสีน้ำเงินอมดำ ซึ่งอาจเกิดจากการที่ผิวหนังมีการปรับตัวให้สร้างเม็ดสีมากขึ้น




ภาพจาก เอกสารภาพนิ่ง
ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 1
จังหวัดตรัง
2. สารปรอทแอมโมเนีย ในครีมทาป้องกันฝ้า หรือ เรียกกันว่าครีมไข่มุก นั้น จะออกฤทธิ์ในการลดการสร้างเม็ดสีของผิวหนัง ทำให้ใบหน้าขาวขึ้น แ่ต่อาจทำให้เกิดอาการแพ้ มีผื่นแดง ผิวหน้าดำ เมื่อหยุดใช้ ผิวบางลงได้ และหากใช้ผลิตภัณฑ์ที่มี่สวนผสมของปรอทแอมโมเนียติดต่อกันเป็นเวลานาน จะทำให้มีการสะสมปรอทในผิวหนัง และดูดซึมเข้าสู่กระแสโลหิต ทำให้ตับ และไตพิการ โรคโลหิตจาง ทางเดินปัสสาวะอักเสบ เป็นต้น

วิธีการตรวจสอบปรอทแอมโมเนียในเครื่องสำอาง



ภาพจากแผ่นพับ
อันตรายเครื่องสำอาง
ผิดกฎหมาย รุ่นที่ 4
(ผลิต กันยายน 2553)
3. กรดวิตามินเอ (วิตามินเอแอซิด หรือ เรติโนอิกแอซิด หรือ เตรติโนอิน) นิยมใช้ในการรักษาสิว มีฤทธิ์กระตุ้นการหลุดลอกของผิวหนังชั้นนอกอย่างรุนแรง และยังลดการยึดติดกันของเซลล์ผิวหนัง เมื่อเซลล์หลุดลอกออกได้ง่าย ก็จะทำให้การอุดตันของไขมันที่ผิวหนังลดลง จึงใช้รักษาสิวได้ แต่ต้องใช้ด้วยความระมัดระวังภายใต้คำแนะนำของแพทย์หรือเภสัชกร เพราะอาจทำให้ผู้ใช้เกิดอันตรายได้ เช่น หน้าแดง ระคายเคือง แสบร้อนรุนแรง ผิวหน้าลอก และอาจเป็นอันตรายต่อทารกในครรภ์ ดังนั้นกฎหมายจึงกำหนดให้กรดวิตามินเอเป็นสารที่ห้ามใช้ในเครื่องสำอาง หากผู้ใดลักลอบใส่ในเครื่องสำอางจะมีความผิดตามที่กฎหมายกำหนดค่ะ

วิธีตรวจสอบกรดวิตามินเอในเครื่องสำอาง




ข้อมูลอ้างอิง :
1. หนังสือความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับสิ่งเป็นพิษ เล่ม 15 พ.ศ. 2544 กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข หน้า9-14.

ศูนย์ข้อมูลพิษวิทยา กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์

2. สายด่วนอย. เมนู 1024 เรื่อง วิตามินเอ และกรดวิตามินเอ ต่างกันอย่างไร

3. เอกสารภาพนิ่ง ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 1 จังหวัดตรัง
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่นี่่ค่ะ


[ ... ]

วันอังคารที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

สูตรสปามะละกอ ปราบสิว เพิ่มสวยวันทำงาน Papaya Spa Treatment DIY

วันนี้ได้หยิบหนังสือชีวจิต ปักษ์แรก เดือนพฤษภาคม มาอ่าน (จริง ๆ ได้มาหลายวันแล้ว...เพิ่งจะได้อ่าน ) มีบทความที่น่่าสนใจมาก ๆ ค่ะ สปามะละกอปราบสิว ลองอ่านดูวิธีการแล้วน่าจะได้ผลนะ...หุ หุ

โดยในบทความเขาได้บอกคุณประโยชน์ของมะละกอ ไว้ดังนี้ค่ะ

มะละกอสุกเนื้อหวาน เป็นแหล่งวิตามินเอ และ ซี เมื่อนำมาขัดใบหน้าเบา ๆ สัปดาห์ละครั้ง จะช่วยขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วไม่ให้อุดตันรูขุมขน ซึ่งเป็นสาเหตุของสิวเสี้ยน สิวหัวดำ สิวหัวช้าง ฯลฯ ขณะเดียวกันก็ช่วยบำรุงผิวหน้าให้นุ่มชุ่มชื้นขึ้น

เพื่อเสริมสุขภาพใบหน้าแบบเพลินอารมณ์ ทางชีวจิต เขาจึงมีสูตรสปามะละกอ มาฝากค่ะ


วิธีทำ
1. ผ่ามะละกอสุกออกเป็นชิ้นเล็ก ๆ 4 ชิ้น ตามยาว ปาดเนื้อมะละกอออก เหลือเนื้อติดเปลือก ไว้พอประมาณ เตรียมไว้
2. เทน้ำอุ่นใส่อ่างน้ำขนาดกลาง ใส่ใบสะระแหน่สด หรือ แห้ง ลงไป 1 หยิบมือ ตามด้วยน้ำมันหอมระเหยกลิ่นมิ้นต์ 2-3
หยด ผสมให้เข้ากัน
3. ก้มหน้าไปอังไอน้ำเหนืออ่าง ให้ไอน้ำระเหยถึง ใช้ผ้าคลุมศีรษะและอ่างไว้ โดยเปิดช่องระบายอากาศไว้เล็กน้อย
4. ขัดใบหน้าเบา ๆ ด้วยเปลือกมะละกอสุก (ใช้ส่วนด้านในที่ติดเนื้อ) ให้ทั่วใบหน้า จากนั้น ล้างหน้าให้สะอาดแล้วซับหน้าให้แห้ง


สูตรนี้เพื่อน ๆ ไปทดลองดูแล้วได้ผลประการใด มาเล่าสู่กันฟังบ้างนะคะ

ส่วนตัวผู้เขียนเอง ใบหน้าไร้สิว (เหลือแต่ฝ้า ) มาร่วม สองปี แล้วค่ะ ด้วยสบู่มะละกอ เหมือนกัน




ที่มา
นิตยสารชีวจิต ฉบับที่ 302 ปีที่ 13 : 1 พฤษภาคม 2554



[ ... ]

วันอาทิตย์ที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

วิธีการตรวจสอบสารไฮโดรควิโนน ในเครื่องสำอาง อย่างง่าย ๆ ด้วยตัวเอง Hydroquinone Cosmetic Testing

การตรวจสอบสารอันตรายในเครื่องสำอาง>วิธีตรวจสอบสารไฮโดรควิโนน


การตรวจสอบว่าผลิตภัณฑ์นั้นมีส่วนผสมของไฮโดรควิโนนหรือไม่

ผลิตภัณฑ์อันตรายที่อ้างว่าทาฝ้า ทําให้หน้าขาว อาจพบว่ามีการลักลอบผสมไฮโดรควิโนน ซึ่งเป็นวัตถุที่ห้ามใช้เป็นส่วนผสมในการผลิตเครื่องสําอาง ผลิตภัณฑ์ที่มีสารไฮโดรควิโนนผสมอยู่ อาจส่งผลให้ เกิดอาการแพ้ระคายเคือง เกิดจุดด่างขาวที่หน้า ผิวหน้าดำ เป็นฝ้าถาวร รักษาไม่หาย

วิธีทดสอบอย่างง่าย

1. หยดหรือป้ายเครื่องสําอางที่สงสัยลงบนกระดาษทิชชูสีขาว แล้วหยด 0.1 N Sodium Hydroxide Solution ลงไปในบริเวณรอยเครื่องสำอาง ทิ้งไว้สักครู่

หากสีเครื่องสำอาง เปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล แสดงว่า อาจมีส่วนผสมของไฮโดรควิโนน

2. ใช้น้ำผงซักฟอกเข้มข้น โดยใช้ผงซักฟอกละลายในน้ำปริมาณเล็กน้อย ผสมกับน้ำ เพื่อให้ได้น้ำผงซักฟอกเข้มข้น นำน้ำผงซักฟอกที่ได้มาหยด ลงบนรอยเครื่องสำอาง ทิ้งไว้สักครู่

หากสีเครื่องสำอาง เปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล แสดงว่า อาจมีส่วนผสมของไฮโดรควิโนน

3. กรณีที่เนื้อครีมมีความข้นเหนียว ให้ละลายเนื้อครีมในแอลกอฮอล์ (ใช้เพียงเล็กน้อย)ให้เนื้อครีมอ่อนเหลวลง เสียก่อน จากนั้นจึงนำเนื้อครีมที่ได้มาหยดลงบนกระดาษทิชชู แล้งจึงทดสอบด้วย สารละลายโซเดียมไฮดรอกไซด์ ตามข้อ 1 หรือ น้ำผงซักฟอก ตามข้อ 2

การทดสอบนี้ เป็นการทดสอบเบื้องต้นอย่างง่าย ๆ โดยใช้หลักการ การเปลี่ยนสีของสารไฮโดรควิโนนเป็นสีน้ำตาล เมื่อมีสภาพเป็นด่าง อย่างไรก็ตาม เืพื่อความชัดเจนถูกต้อง ควรใช้ ชุดเครื่องมือตรวจสอบ ของกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ หรือ เก็บตัวอย่างส่งตรวจวิเคราะห์ และท่านสามารถแจ้งผลิตภัณฑ์ที่สงสัยว่าจะมีสารไฮโดรควิโนน โดยโทรแจ้งสำนักคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ที่หมายเลข โทร.0-2590-7354 ถึง 5 หรือที่สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดทุกแห่ง



การใช้ชุดทดสอบ สารไฮโดรควิโนน ในเครื่องสำอาง ของกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์

หลักการ : สารเคมีที่ใช้ในการทดสอบจะทำปฏิกิริยากับไฮโดรควิโนน ให้ สีเขียว ถึง สีน้ำเงินดำ

ปริมาณต่ำสุดของสารไฮโดรควิโนนที่ตรวจพบได้
0.006 % w/w ในครีมเหนียว
0.014 % w/w ในโลชั่น

ชุดทดสอบสารไฮโดรควิโนน ของกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ 1 ชุด สามารถตรวจได้ 20 ตัวอย่าง


อุปกรณ์ประกอบด้วย

1. จานหลุม
2. ขวดสารเคมี
3. ก้านไม้ปลายแบน
4. ก้านพลาสติกปลายแบน
5. หลอดหยดพลาสติก


วิธีการตรวจสอบ
1. ใช้ก้านพลาสติกตักสารเคมีขนาดเท่าเมล็ดถั่วเขียวใส่ลงในจานหลุมพลาสติก
ภาพจาก เอกสารภาพนิ่ง ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 1 จังหวัดตรัง

2. ใช้ก้านไม้ปลายแบนตักครีมตัวอย่างขนาดครึ่งเมล็ดถั่วลิสงลงในหลุมสารเคมี (กรณีที่ตัวอย่างเป็นของเหลว ให้ใช้หลอดหยดพลาสติกดูดและหยดตัวอย่างประมาณ 3 หยด)

ภาพจาก เอกสารภาพนิ่ง ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 1 จังหวัดตรัง

3. ใช้แท่งไม้ปลายแบนคนให้สารเคมีและตัวอย่างเข้ากันและสังเกตสีที่เกิดขึ้นภายใน 5 วินาที

ภาพจาก เอกสารภาพนิ่ง ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 1 จังหวัดตรัง


การอ่านผล

ผลบวก (พบสารไฮโดรควิโนน) : เกิดสีเขียวถึงสีน้ำเงินดำ
ผลลบ (ไม่พบสารไฮโดรควิโนน) : สีเดิมของตัวอย่าง สีน้ำตาล หรือสีเขียวอ่อนหลังจาก 5 วินาทีไปแล้ว


วีดีโอ การใช้ชุดทดสอบกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ทดสอบสารไฮโดรควิโนน ในเครื่องสำอาง
เผยแพร่โดย uckkpho@youtube.com









ที่มา :
1. เอกสารเผยแพร่ อย. อันตรายจากการใช้เครื่องสำอาง
ดาวน์โหลดได้ที่นี่ค่ะ

2. เอกสารภาพนิ่ง ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 1
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่นี่่ค่ะ


[ ... ]

วิธีทดสอบการแพ้เครื่องสำอาง How to Test Allergy Cosmetic

วิีธีทดสอบการแพ้เครื่องสำอาง สามารถทำได้โดยทาผลิตภัณฑ์นั้นในปริมาณเล็กน้อยที่ท้องแขน หรือ หลังติ่งหู แล้วทิ้งไว้ 24-48 ชั่วโมง หากไม่มี ความผิดปกติใด ๆ แสดงว่าใช้ได้หากใช้เครื่องสําอางใดแล้วมีความผิดปกติเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการใช้ครั้งแรก หรือใช้มาระยะหนึ่งแล้วก็ตาม ต้องหยุดใช้ทันทีถ้าหยุดใช้แล้วอาการไม่ดีขึ้นควรปรึกษาแพทย๋เพื่อหาสาเหตุและทําการรักษาต่อไป


อาการแพ้เครื่องสำอาง ที่อาจเกิดขึ้น ::
1. เกิดอาการผื่นแดง ระคายเคือง คันยุบยิบ* เป็นผื่น
2. เกิดอาการแสบร้อนรุนแรง บวมแดง เกิดการอักเสบ
3. ผิวแห้งแตก ผิวหน้าลอกอย่างรุนแรง
4. เกิดอาการลมพิษ หรือ อาจมีอาการรุนแรง ถึง ขั้นเป็นแผลพุพอง


* อาการคันยุบยิบ หากเกิดเล็กน้อย อาจเป็นแค่อาการข้างเคียง แก้ไขโดยใช้ผลิตภัณฑ์ทาผิวในปริมาณที่น้อยลง

อาการแพ้ข้างต้น อาจเกิดจากการแพ้สารอันตรายที่ห้ามใช้ในเครื่องสำอาง ตามประกาศของอย.






ที่มา : เอกสารเผยแพร่ อย. อันตรายจากการใช้เครื่องสำอาง
ดาวน์โหลดได้ที่นี่ค่ะ
[ ... ]

รวมประกาศอย. เตือนภัย เครื่องสำอาง อันตราย พร้อมรูป Oryor Notification Dangerous Cosmetics

ภาพจาก บทความ Fact Sheet เลือกเครื่องสำอางอย่างไร...ให้ปลอดภัยจากสารห้ามใช้

ข้อมูลจาก บทความ Fact Sheet เลือกเครื่องสำอางอย่างไร...ให้ปลอดภัยจากสารห้ามใช้


สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.)(Food and Drug Administration) ได้ทำการเก็บตัวอย่าง เครื่องสำอาง ในท้องตลาด และได้ทำการตรวจวิเคราะห์ในห้องทดลอง และ ได้ประกาศเครื่องสำอางอันตราย ห้ามใช้และจำหน่าย สารอันตรายที่พบโดยส่วนใหญ่ในเครื่องสำอาง ต่าง ๆ ได้แก่

สารไฮโดรควิโนน อาจทำให้ เกิดอาการแพ้ระคายเคือง เกิดจุดด่างขาวที่หน้า ผิวหน้าดำ เป็นฝ้าถาวร รักษาไม่หาย

สารประกอบของปรอท อาจทำให้เกิดอาการแพ้ ผื่นแดง ผิวหน้าดำ ผิวบางลง เกิดพิษสะสมของปรอท ทำให้ทางเดินปัสสาวะอักเสบ และ ไตอักเสบ

กรดวิตามินเอ (เรทิโนอิก) อาจทำให้หน้าแดง แสบร้อน รุนแรง เกิดอาการอักเสบ ผิวหน้าลอกอย่างรุนแง และ อาจเป็นอันตรายต่อทารกในครรภ์


อย.ได้ทำการเผยแพร่ เครื่องสำอางอันตราย พบสารห้ามใช้ ลงบนแผ่นพับ ดังต่อไปนี้



แผ่นพับอย. เครื่องสำอางอันตราย กันยายน 2553
แผ่นพับอย. เครื่องสำอางอันตราย กันยายน 2553
(คลิกที่ภาพเพื่อดูภาพต้นฉบับ file PDF)


รายชื่อเครื่องสำอาง 34 รายการตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข ห้ามผลิต นำเข้า หรือขาย ประกาศ ณ วันที่ 31 มีนาคม 2552 และ ฉบับที่ 2 ประกาศ ณ วันที่ 16 ตุลาคม 2552
(คลิกที่ภาพเพื่อดูภาพต้นฉบับ file PDF)


แผ่นพับ อย. อันตรายเครื่องสำอาง ผิดกฏหมาย ตุลาคม 2551 แผ่นที่ 1
(คลิกที่ภาพเพื่อดูภาพต้นฉบับ file PDF)


แผ่นพับ อย. อันตรายเครื่องสำอาง ผิดกฏหมาย ตุลาคม 2551 หน้าที่ 2
(คลิกที่ภาพเพื่อดูภาพต้นฉบับ file PDF)


แผ่นพับอย. อันตรายเครื่องสำอางผิดกฏหมาย เมษายน 2552 แผ่นที่ 1
(คลิกที่ภาพเพื่อดูภาพต้นฉบับ file PDF)


แผ่นพับอย. อันตรายจากเครื่องสำอางผิดกฏหมาย เมษายน 2552 แผ่นที่ 2
(คลิกที่ภาพเพื่อดูภาพต้นฉบับ file PDF)


ประกาศอย. เรื่อง ผลการตรวจสอบหรือวิเคราะห์เครื่องสำอางที่พบสารห้ามใช้ มิถุนายน 2553- 2 กุมภาพันธุ์ 2554
อ่านประกาศอย.เตือนเครื่องสำอางอันตราย ล่าสุด
ได้ที่นี่ ค่ะ




ข้อมูลอ้างอิง
1. เอกสารแฟคชีท อย. เรื่อง "เลือกเครื่องสำอางอย่างไร...ให้ปลอดภัยจากสารห้ามใช้"
ดาวน์โหลดเอกสารได้ที่นี่่ค่ะ

2. แผ่นพับ เครื่องสำอางอันตราย
[ ... ]