tag:blogger.com,1999:blog-91422862615888825542024-02-20T23:53:24.686-08:00❀ ความงามUnknownnoreply@blogger.comBlogger12125tag:blogger.com,1999:blog-9142286261588882554.post-66001289693581660422012-04-24T09:55:00.001-07:002012-04-25T05:01:26.066-07:00น้ำมันลูกเดือย ช่วยขับปัสสาวะ บำรุง ปอด ม้าม ตับ กระเพาะอาหาร<img src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEikSW4zChho2xBpM-zYX4xCYChGkByNoH7GCWDC7Ew1oHKuABS68Z4pE9QrSqjQV_Pl0eyXtcbLyhBDEZ8xsm5PAoL3_lZPDPsUxv3TaIrVUpbz5shqQLHo-yR0dd7GE2LuAeQw2-D0-t4/s160/jobstears-1.jpg" border="0" align="right" /> <a href="http://www.kolseeds.com/2012/04/100-natural-pressed-jobs-tears-oil.html" target="_blank" title="คลิกที่นี่เพื่ออ่านรายละเอียด น้ำมันลูกเดือย สกัดบริสุทธิ์ ปราศจากสารเคมีปนเปื้อน สะอาด ถูกหลักอนามัย"><b>น้ำมันลูกเดือย</b></a> แค่ชื่อ ก็แปลกแล้ว !<br/><br/>ลูกเดือย มีน้ำมันด้วยเหรอ ? ...ความจริง คือ ลูกเดือย มีไขมันเพียง 5% เท่านั้น... <br/><br/>ถ้างั้น น้ำมันลูกเดือย ผลิตมาได้ไง ? <br/> <br/><p align="justify">จากการค้นข้อมูล พบว่า ปัจจุบัน มีการสกัดสารอาหารในธัญพืช หรือ พืชสมุนไพร ต่าง ๆ มาไว้ในน้ำมันพืชสกัดเย็น สมุนไพรที่นำมาสกัด มีหลากหลายชนิด ได้แก่ <a href="http://www.kolseeds.com/2011/12/extra-virgin-oil-cold-pressed-oil.html" title="คลิกที่นี่เพื่ออ่านรายละเอียด น้ำมันสมุนไพร สกัดบริสุทธิ์ ใช้รับประทาน หรือ ใช้ทาภายนอก">น้ำมันขิง น้ำมันข่า น้ำมันผิวส้ม น้ำมันลูกเดือย</a> เป็นต้น ส่วนกรรมวิธีการผลิตนั้น ผู้เขียนจะนำมาเล่าให้ฟังคราวหน้านะคะ <br/> <br/> กลับมาเข้าเรื่อง <b><a href="http://www.kolseeds.com/2012/04/100-natural-pressed-jobs-tears-oil.html" target="_blank" title="คลิกที่นี่เพื่ออ่านรายละเอียด น้ำมันลูกเดือย สกัดบริสุทธิ์ ปราศจากสารเคมีปนเปื้อน สะอาด ถูกหลักอนามัย">น้ำมันลูกเดือย</a></b> กันค่ะ ผู้เขียนได้ทดลองรับประทาน <b>น้ำมันลูกเดือย</b> โดยใช้สูตร น้ำมันลูกเดือย 1 ช้อนโต๊ะ ผสมกับ โยเกิร์ต 1 ถ้วย บางครั้งก็ทานเปล่า ๆ ผสมเครื่องดื่มบ้าง อะไรบ้าง ไปตามเรื่อง <font size="5">☺</font> ซึ่งจากที่ศึกษามา พบว่า ลูกเดือย มีประโยชน์มากมายจริง ๆ สรรพคุณ ที่ผู้เขียนสนใจ ได้แก่ บำรุงปอด ตับ ม้าม กระเพาะอาหาร แก้โรคทางเดินหายใจ (เพราะผู้เขียนเป็นภูมิแพ้) บำรุงเส้นผม และ ผิวหนัง (แวะมาเรื่องความงามนิดนึง ให้สมกับเป็นบลอกความงาม <font size="5">☺</font>) <br/><br/>เมื่อทดลองรับประทาน ก็ไม่ได้คาดหวังอะไรค่ะ ทานไปงั้น ๆ เอง <br/><br/> ปรากฏว่า ภายหลังจากทานไปได้ 2-3 วัน (2-3 ช้อนโต๊ะ อ่ะนะ - เพราะทานครั้งละ 1 ช้อนโต๊ะ) พบว่า ปัสสาวะได้มากขึ้น อย่างเห็นได้ชัด (แต่ไม่ใช่ปัสสาวะถี่ ๆ แบบอาการปัสสาวะขัด-หรือ โรคนิ่ว ) ตอนแรกก็ลืม ไม่คิดว่าจะเกี่ยวข้องกับน้ำมันลูกเดือย คิดว่า ตัวเอง คงเป็นโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ อีกแล้ว แต่ครั้งนี้ ไม่มีอาการอักเสบ เจ็บปวดใด ๆ อาการขับปัสสาวะ นี้ เด่นชัดกว่าอย่างอื่น แล้วก็รู้สึกทนกับมลพิษทางอากาศได้มากขึ้น (น้ำมูกยังไม่ไหล-แต่ก็ไม่ประมาท คงต้องหาหน้ากากป้องกัน ในเร็ว ๆ นี้ <font size="5"> ✌ </font>)<br/><br/> ผู้เขียนก็เลยสงสัยว่า <b>ขับปัสสาวะ</b> ไปทำไม? ลองค้นข้อมูลดู พบว่า <br/><br/><blockquote>ในทางการแพทย์ ยาขับปัสสาวะใช้รักษา<br/><br/>
หัวใจล้มเหลว (heart failure)<br/>
โรคตับแข็ง (liver cirrhosis)<br/>
ความดันโลหิตสูง (hypertension)<br/>
โรคไต (kidney disease)<br/><br/>
ยาขับปัสสาวะสามารถบรรเทาโรคดังกล่าวได้เพราะมันทำให้ร่างกายขับโซเดียมและน้ำ ไปพร้อมกับปัสสาวะ ยิ่งมีปัสสาวะมากเท่าไรน้ำและโซเดียม ซึ่งเป็นต้นเหตุของอาการบวมน้ำ (edema) ก็จะลดลง และอาการบวมน้ำก็ลดลง ยาขับปัสสาวะบางตัวเช่นอะเซตาโซลาไมด์ ทำให้ปัสสาวะเป็นด่างซึ่งเป็นการช่วยเพิ่มการขับถ่ายยาแอสไพรินในกรณีการใช้ยาเกินขนาด<br/><br/> อ้างอิง : <a href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%82%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%9B%E0%B8%B1%E0%B8%AA%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%B0" target="_blank">http://th.wikipedia.org/wiki/</a></blockquote> อืมม...หากขับปัสสาวะ แล้ว ช่วยกำจัดสารพิษในร่างกายไปด้วย ก็น่าจะดีนะ <font size="5">☺</font> <br/><br/>อย่างไรก็ดี ผู้เขียน หวังว่า ปอด ตับ กระเพาะอาหาร จะแข็งแรงขึ้น อาการภูมิแพ้ จะดีวันดีคืน ในเร็ววัน <font size="5">☺</font></p>Unknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-9142286261588882554.post-12513621282795191932012-03-15T11:38:00.001-07:002012-03-23T04:56:57.589-07:00กรดโคจิก สารช่วยให้ผิวขาว โคจิกแอซิด ผลิตมาจากอะไร<img src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjXNthLrRA0tYi8xft-hH-LG3ddFpFN_IM98AdvLU0lljN-H4BRkpeHvrfWKySyQNb3yRg0UuOb-5HNZ4zloqu4f51raiG00b5ZpzLgiwAXULYrg95Mbcxg03dBlVXnC86CKSgLs3V0OV0/s512/Facial-treatment-2.jpg" align="right" border="0" width="200"/><b>กรดโคจิก (Kojic Acid) </b> เป็นสารผลิตภัณฑ์ธรรมชาติที่ได้จากการหมักกลูโคสกับเชื้อรา Aspergillus (เชื้อราที่เจริญเติบโตได้ดีในธัญพืช เช่น ถั่ว แป้ง ในเต้าเจี้ยว ซีอิ๊ว หรือ เหล้าสาเก) เป็นสารที่ช่วยให้ผิวขาว ด้วยคุณสมบัติที่โดดเด่น ในการป้องกันการเกิดอนุมูลอิสระ และ ยับยั้งการสร้างเม็ดสี (melanin) ช่วยลดความหมองคล้ำตามวัย และ จุดด่างดำ อันเนื่องมาจากแสงแดด ลดปัญหาผิวลาย และ สีผิวไม่เสมอ (เช่น ฝ้า กระ) <br/><br/>แต่เป็นที่น่าเสียดายที่ กรดโคจิก (Kojic acid โคจิกแอซิด) เป็นสารที่มีความคงตัวต่ำ มักจะเปลี่ยนสี และไม่ทนต่อความร้อน แสง และ ความเป็นกรดด่าง จึงมีการนำกรดโคจิกในรูปแบบของเอสเทอร์ หรือ ที่มีชื่อเรียกว่า <b>กรดโคจิก ไดพาลมิเทท Kojic Acid Dipalmitate</b> มาใช้แทน <br/><br/> ซึ่งกรดโคจิกไดพาลมิเทท นี้ สามารถละลายได้ในน้ำมันแร่ และ เมื่อผลิตเป็นครีม จะมีคุณสมบัติซึมซาบสู่ผิวได้เร็ว นอกจากนี้ เอนไซม์เอสเทอเรส ที่ผิวหนัง จะทำให้กรดโคจิกใน Kojic Dipalmitate ถูกปล่อยออกมาอย่างช้า ๆ ทำให้กรดโคจิก ทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ<br/><br/>ปัจจุบัน ได้ีมีการนำ กรดโคจิก ไดพาลมิเทท มาใช้ในการผลิตเครื่องสำอาง ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวเพื่อผิวขาว กันอย่างแพร่หลาย เช่น การทำ<span style="font-size:large;"><a href="http://www.kolseeds.com/2012/03/kojic-soap-age-spot-lighten-freckles.html" title="คลิกที่นี่เพื่ออ่านรายละเอียดสบู่โคจิก สบู่เพื่อผิวขาว โคจิกแบบไม่ต้องฉีด">สบู่โคจิก</a></span> สบู่โคจิก-เมล็ดองุ่น <span style="font-size:large;"><a href="http://www.kolseeds.com/2012/03/kojic-papaya-whitening-soap.html" title="คลิกที่นี่เพื่ออ่านรายละเอียด สบู่โคจิก-มะละกอ สบู่ลดฝ้า จุดด่างดำบนใบหน้า เผยผิวใหม่ที่ขาวเนียนกระจ่าง">สบู่โคจิก-มะละกอ</a></span> สบู่โคจิก-น้ำนมแพะ เป็นต้น<br/><br/>อ้างอิง : <br/><a href="http://www.mcbiotec.com/products/?type=detail&id=10" target="_blank">Kojic Acid Dipalmitate</a><br/><br/>Unknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-9142286261588882554.post-64109877247464400642011-12-15T09:39:00.000-08:002011-12-15T09:56:22.364-08:00การใช้ขิงผงเพื่อลดอาการปวดหลัง และ ป้องกันหวัด Ginger Massage Therapy<b>วิธีการนวดด้วยขิงเพื่อลดอาการปวดหลัง</b>*<img align="right" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjb2vyg7J_OD8YkrLfFt81tYi9ltfOAvyNGpV9v4IV64AZ2uHZ8Vx6fXsdCP8y24dTylPBzTTGOvNfqeOuSVg85i_8E1Vd2szsrdcqmfmLK_7SlFlvLs3tzrZlgLTeDVzDOHpFtf2ChyQg/s512/ginger.jpg" width="300" /><br />
1. ผสม<a href="http://www.kolseeds.com/2011/07/100-ginger-powder.html" target="_blank" title="คลิกที่นี่เพื่ออ่านรายละเอียด ขิงผงบดละเอียดปราศจากน้ำตาล ผสมเครื่องดื่มอื่น ๆ เพิ่มรสชาติิ เผ็ดร้อน">ขิงผง</a>กับน้ำเพียงเล็กน้อยให้ข้นพอประมาณ<br />
2. ทาส่วนผสมขิงที่ได้ลงบนหลัง โดยเฉพาะที่มีอาการปวด<br />
3. นวดเบา ๆ ให้ทั่ว พักไว้ 10-15 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด<br />
4. ชโลมน้ำมันยูคาลิปตัสลงบริเวณที่มีอาการปวดหลังอีกครั้ง และ นวดต่ออีกเล็กน้อย<br />
<br />
<br />
การลูบไล้ขิงบนผิว นอกจากช่วยคลายอาการปวดแล้ว ตามตำรับของญี่ปุ่น** กล่าวว่า การทาขิงสดที่ขูดเป็นฝอย ๆ บนผิวที่ขรุขระเป็นปั้น ๆ (ผิวที่มีอาการกักไขมันเซลลูไลท์) เช่น ต้นขา หรือ ก้น จะทำให้ผิวบริเวณนั้นเรียบขึ้น และ เนียนขึ้นอีกด้วย<br />
<br />
<br />
นอกจากนี้ การแช่เท้าในน้ำอุ่นที่ผสม<a href="http://www.kolseeds.com/2011/07/100-ginger-powder.html" target="_blank" title="คลิกที่นี่เพื่ออ่านรายละเอียด ขิงผงบดละเอียดปราศจากน้ำตาล ผสมเครื่องดื่มอื่น ๆ เพิ่มรสชาติิ เผ็ดร้อน">ขิงผง</a>และน้ำผึ้ง*** จะได้กลิ่นหอมของขิง ช่วยให้จมูกโล่ง และกระตุ้นร่างกายให้สู้กับหวัดได้ค่ะ ในขณะเดียวกัน เท้าที่แช่น้ำขิง ก็จะนุ่มนวลขึ้น ไม่แห้งกร้าน<br />
<br />
<br />
<b><i> ที่มา: </i></b><br />
* นิตยสารชีวจิต ฉบับ วันที่ 1 ธันวาคม 2554 หน้า 18<br />
**http://www.oknation.net/blog/girlza/2009/02/07/entry-1<br />
***<a href="http://women.thaiza.com/%E0%B8%82%E0%B8%B4%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%82%E0%B8%A2%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B9%8C%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A2%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89/99408/" target="_blank">ขิงกับประโยชน์ที่ยังไม่รู้</a>Unknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-9142286261588882554.post-42280814098255971402011-10-28T10:51:00.000-07:002011-10-29T01:04:51.785-07:00การนอนหลับยาวอาจมีผลกระทบต่ออายุสมอง 4-7 ปี<img src="https://lh6.googleusercontent.com/-TMV7jRYFV9c/TqucEGaeSGI/AAAAAAAABcs/lP6kN9fU0LE/s605/sleep1.jpg" border="0" align="right" width="200" /> จากงานวิจัยในวารสาร SLEEP ฉบับเร็ว ๆ นี้ ได้กล่าวถึง ระยะเวลานอนหลับ ที่แตกต่างกันไป ในช่วง 5 ปีของอายุมนุษย์ ส่งผลกระทบกับการทำงานของสมองในระยะเวลาต่อมาอย่างไร* พบว่า <b>หากเรานอนหลับได้นาน 6-8 ชั่วโมง ดูเหมือนว่า ร่่างกายจะมีการตอบสนองต่อสิ่งแวดล้อมได้อย่างเป็นปกติ</b> <div><b><i><br /></i></b></div><div><b><i><br /></i></b></div><div><b><i>หากนอนหลับ น้อยกว่า หรือ มากกว่า 6-8 ชั่วโมงต่อคืน อาจส่งผลให้อัตราการเสื่อมของสมองเร็วขึ้น เทียบเท่ากับ ระยะเวลาถึง 4-7 ปี</i></b><br /><br />"ผลลัพธ์หลัก จากการวิจัยของเราคือ การเปลี่ยนแปลงช่วงเวลาในการนอนหลับ ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับ ความเสื่อมมากขึ้นของสมองในช่วงอายุกลางคน" เป็นคำกล่าวของ Jane Ferrie, PhD, นักวิจัยอาวุโส ของ University College London Medical School Department of Epidemiology and Public Health ในประเทศอังกฤษ<br /><br />ข้อมูลนี้ได้มาจาก Whitehall II study ที่ได้วิจัยจากประชากรชาวลอนดอน กว่า หนึ่งหมื่นคน ในช่วงอายุ 35-55 ปี<br /><br /><img src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhrI95wXrZNElZAg-qwsA6j_YMB9oMKcDnABKuj2ax4Z-gZ2sWO_ArQlEHWI-eV83BlfQrZ_hy6pxlJoaVg9QJmWu4sMwVN6k_HzPv4BLFWb-aS5qUSlJEZ-saBmhjPStkhSKvXhEE61PM/s605/sleep2.jpg" border="0" width="200" align="left" vspace="5" hspace="5" />"ผลกระทบที่เลวร้ายต่อสุขภาพในด้านต่าง ๆ จากการนอนมากเกินไป การนอนน้อยเกินไป และ การหลับไม่สนิท ได้รับความสนใจมากขึ้น" Ferrie เสริม </div><div><br /></div><div>"ส่งผลให้การใช้เวลา ตลอด 24 ชั่วโมง 7 วันในหนึ่งสัปดาห์ ในสังคม ของหลาย ๆ คน ได้รับผลกระทบเพิ่มขึ้น</div><div><br /></div><div>สิ่งที่ควรจะพิจารณามากขึ้นคือ จะเกิดผลกระทบอะไรบ้าง ต่อสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี ในระยะยาว จากการเปลี่ยนแปลงช่วงเวลาในการนอนหลับของเรา"<br /><br /><br />*Sleep. 2011 May 1;34(5):565-73.<br /><br /><br /><br />อ้างอิง<br /><br /><a href="http://www.lef.org/magazine/mag2011/sep2011_In-The-News_01.htm" target="_blank">Sleep Length May Affect Cognitive Aging 4 to 7 Years</a><br /></div><div><br /></div><div><br /></div>Unknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-9142286261588882554.post-64785439328953005832011-10-26T11:35:00.000-07:002011-10-27T05:30:24.016-07:00เกรพฟรุท ผลไม้ลดความอ้วน เกรพฟรุท ยามหัศจรรย์<img src="https://lh3.googleusercontent.com/-sqkQOqEUW2U/TqhTWSepeYI/AAAAAAAABcI/BAV4lvPcrk4/s388/GrapeFruit-1.jpg" border="0" width="200" align="left" /><div style="text-align: justify;">จากงานวิจัย พบว่า <b>ผู้ที่รับประทานเกรพฟรุท ครึ่งผล ก่อนอาหาร สามมื้อต่อวัน ทำให้น้ำหนักลดลง โดยเฉลี่ย 1.6 กก. (3.6 pounds) ในสามเดือน อีกงานวิจัยหนึ่ง ระบุว่า การที่ร่างกายได้รับวิตามินซีในปริมาณมาก (เช่น วิตามินซีที่มีอยู่ในเกรพฟรุท) จะช่วยให้ร่างกายเผาผลาญไขมันเพิ่มขึ้นได้อีก 30% ในขณะออกกำลังกาย</b></div><div style="text-align: justify;"><br /></div><div style="text-align: justify;">น้ำมันหอมระเหย เกรพฟรุท ใช้ในทางบำบัดด้วยกลิ่น โดยช่วยสลายความเศร้าได้</div><div style="text-align: justify;"><br /></div><div style="text-align: justify;">การใช้ เกรพฟรุทสด ๆ ทาผิว ช่วยขจัดสิวได้ ด้วยฤทธิ์ฆ่าเชื้อที่ก่อให้เกิดสิว</div><div style="text-align: justify;"><br /></div><div style="text-align: justify;">การรับประทานเกรพฟรุท ช่วยป้องกันการติดเชื้อ จากโรคต่าง ๆ ได้</div><div style="text-align: justify;"><br /></div><div style="text-align: justify;">สารสกัดจากเมล็ดเกรพฟรุท มีคุณสมบัติพิเศษในการป้องกันการติดเชื้อแบคทีเรีย และ เชื้อรา ทั้งภายในและ ภายนอกร่างกาย</div><div style="text-align: justify;"><br /></div><br />อ้างอิง<br /><br /><a href="http://www.lef.org/news/LefDailyNews.htm?NewsID=11802&Section=Nutrition" target="_blank">Grapefruit, the 'Wonder Drug': Eat Grapefruit to Fight Fat<br /><br />Laurel House<br />Mclatchy-Tribune News Service.<br /><br />10-26-11</a><br /><br /><br /><hr width="200"><br /><br /><img src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiC59bgaabXyEcu0HSW2VEfduucW0LJfWARjrwQtJJ13hICWnzRjT_oozG8kDcjXapwlMo-8ABWcNe62uvrcFJ7ny2yqtqOjKLRAoO7d08j6-QyKgIQkKI5Bghsixnk-yQqAfeG-G2JFHU/s512/GrapeFruit-2.jpg" border="0" width="200" align="left" />เกรพฟรุท (Grapefruit) เป็นผลไม้คล้ายส้ม มีรสเปรี้ยว ผลมีเปลือกสีเหลือง รูปกลมแป้น ขนาดผลประมาณ 10-15 ซม. เนื้อผลแบ่งเป็นกลีบแบบส้มสีออกแดงทับทิม<div><br /></div><div>นิยมปลูกในสหรัฐอเมริกา แถบฟลอริดา เท็กซัส แอริโซนา และ แคลิฟอร์เนีย </div>Unknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-9142286261588882554.post-74775936883112889092011-10-25T12:23:00.000-07:002012-02-18T17:52:25.976-08:00ประโยชน์ของวิตามินซีเพื่อผิวขาว ชนิดทา หรือ ชนิดรับประทาน อย่างไหนดีกว่ากัน<img align="right" border="0" src="https://lh4.googleusercontent.com/-ZWuau_xwUuU/TabdsWa8ioI/AAAAAAAAAxw/vEXLpisrVpA/s250/SunScreen.jpg" width="200" />สาเหตุหนึ่งที่ทำให้ผิวหมองคล้ำ เกิดริ้วรอย แลดูแก่ก่อนวัย มาจาก รังสี UV ในแสงแดด และ ภาวะมลพิษ อนุมูลอิสระต่าง ๆ<br />
<br />
<b>วิตามินซี</b> เป็นองค์ประกอบที่จำเป็นในการสร้างคอลลาเจน และ เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยลดการทำลายเซลล์ผิวหนังจากแสงแดดได้ และ ยังช่วยส่งเสริมหน้าที่กักน้ำให้กับเซลล์ผิวอีกด้วย<br />
<br />
กระบวนการต้านอนุมูลอิสระของ<b>วิตามินซี</b>นี้เอง ช่วยลดการก่อให้เกิดเม็ดสีที่ไม่สม่ำเสมอ ที่เป็นสาเหตุของการเกิดฝ้า และ ความหมองคล้ำ จึงทำให้ผิวแลดูกระจ่างใส ขาวขึ้น <br />
<div>
<br /></div>
<div>
นอกจากนี้<b> วิตามินซี</b> ยังไปเพิ่มการสร้างคอลลาเจน และลดกระบวนการทำลายคอลลาเจน ทำให้ผิวเต่งตึง หน้าเด้ง ผิวอ่อนกว่าวัย เซลล์ผิวชุ่มชื้น มีสุขภาพดี อีกด้วย<br />
<br />
แต่เป็นที่น่าเสียดายที่ <b>วิตามินซีเป็นวิตามินที่ละลายน้ำ และ มีความคงตัวต่ำ</b> เมื่อรับประทานวิตามินซีเข้าไป ระบบลำเลียงต่าง ๆ ของร่างกาย มีข้อจำกัดในการดูดซึมวิตามินซีเข้าไป จึงนำไปใช้งานได้ส่วนหนึ่ง ส่วนใหญ่จะขับออกอย่างรวดเร็ว ทำให้วิตามินซีที่ผิวหนัง ที่ได้จากการรับประทาน ไม่มีความเข้มข้นเพียงพอที่จะช่วยต้านอนุมูลอิสระ และ เพิ่มปริมาณคอลลาเจน รวมถึงลดการทำลายคอลลาเจน ดังกล่าว</div>
<div>
<br />
วิธีการที่ดีที่สุดในการให้วิตามินซีกับผิวหนัง คือ <a href="http://www.kolseeds.com/2011/09/sutla-oatmeal-soap-with-glutathione.html" target="_blank" title="สบู่วิตามินซี กลูต้าไธโอน ข้าวโอ๊ต จากฟิลิปปินส์">การทาวิตามินซีกับผิวหนังโดยตรง</a> วิตามินซีที่นิยมใช้กับผิวหนัง ได้แก่ <b><a href="http://health4fits.blogspot.com/2011/10/60-off-vitamin-c-serum-for-face-with.html" target="_blank" title="เซรั่มวิตามินซี ลดราคา 60%">Vitamin C Serum</a> </b> หรือ <a href="http://www.kolseeds.com/2012/02/active-c-whitening-cream.html" target="_blank" title="คลิกที่นี่เพื่ออ่านรายละเอียด ครีมวิตามินซีเข้มข้น ประสิทธิภาพสูง จาก Activated Citrus-C TM"><b>ครีมวิตามินซีเข้มข้น</b></a> <br />
<br />
<br />
จากงานวิจัย พบว่า การทาวิตามินซี กับผิวหนัง โดยตรง จะทำให้ผิวได้รับวิตามินซี มากกว่า การรับประทานวิตามินซี ถึง 20 เท่า<br />
<br />
การใช้ <a href="http://health4fits.blogspot.com/2011/10/60-off-vitamin-c-serum-for-face-with.html" target="_blank" title="เซรั่มวิตามินซี ลดราคา 60%"><b>VITAMIN C SERUM</b></a> จึงเป็นการปกป้องผิวไม่ให้แก่ก่อนวัย และ ช่วยให้ผิวอ่อนเยาว์จากภายในสู่ภายนอก เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ผิวมีความเสื่อมจากวัย<br />
<br />
<br />
การใช้เซรั่ม วิตามินซี ให้เหมาะสมกับผิวพรรณ ควรใช้เป็นประจำ เช้า-ก่อนนอน หรือ ตามที่ต้องการ<br />
<br />
<br />
<br />
อ้างอิง<br />
<br />
<a href="http://health4fits.blogspot.com/2011/10/60-off-vitamin-c-serum-for-face-with.html" target="_blank" title="เซรั่มวิตามินซี ลดราคา 60%">60% OFF Vitamin C Serum for The Face (with Tea Extract)</a><br />
<br />
<a href="http://www.lef.org/magazine/mag2009/may2009_Revitalizing-Aging-Skin-with-Topical-Vitamin-C_01.htm#supplements-menu" target="_blank">Revitalize Aging Skin with Topical Vitamin C</a><br />
<br /></div>Unknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-9142286261588882554.post-28782068671309243972011-05-11T09:56:00.000-07:002011-05-13T13:59:23.609-07:00วิธีตรวจสอบสารอันตรายในเครื่องสำอาง วิธีตรวจปรอทแอมโมเนีย How To Test Mercury Ammonia in Cosmetic<a href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=9142286261588882554" onblur="try {parent.deselectBloggerImageGracefully();} catch(e) {}"></a><a href="http://brand-beauty.blogspot.com/2011/05/how-to-test-hazardous-materials-in.html" title="สารอันตรายในเครื่องสำอาง" target="_blank">การตรวจสอบสารอันตรายในเครื่องสำอาง</a>>วิธีตรวจสอบสารปรอท แอมโมเนีย<br /><br /><img style="float:right; margin:0 0 10px 10px;c" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhTFf5YxagpkZmXzFCXTK19ESIhN4alBLRFOiPYEV4TxhfUq6O1B0XpOe1F1fjj09vAqff1OHYbTqf_6NrCMZ8BRJgPjUg6gAbr-cUAY5J5Qom9AloU9osqtoD53UgFG3O4Yx_ZkqgBkBg/s1600/MA1.jpg" border="0" width="200" alt="ชุดทดสอบปรอทแอมโมเนีย ของกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5605518134029876962" /><span style="font-weight:bold;">วิธีการทดสอบปรอทแอมโมเนีย โดยชุดทดสอบของกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์</span><br /><br /><span style="font-weight:bold;">หลักการ</span> : เมื่อปรอทแอมโมเนียทำปฏิกิริยากับสารเคมีในชุดทดสอบ จะทำให้เกิดก๊าซแอมโมเนีย ซึ่งจะทำให้สีของกระดาษลิตมัสเปลี่ยนจากสีเหลืองเป็นสีเขียวอ่อนหรือเขียวเข้ม ถึงสีน้ำเงิน<br /><br />ปริมาณต่ำสุดที่ตรวจพบได้ คือ 0.15 % w/w<br />สามารถตรวจได้ 20 ตัวอย่าง<br /><br /><br /><span style="font-weight:bold;">อุปกรณ์ประกอบด้วย</span><br />1. หลอดทดลอง + จุกยางปิดหลอดทดลอง<br />2. กระดาษลิตมัส<br />3. ขวดสารเคมี<br />4. ภาชนะอลูมิเนียม<br />5. ขวดน้ำยา<br />6. กระบอกฉีดยาพลาสติก<br />7. แท่งแก้ว<br /><br /><span style="font-weight:bold;">ขั้นตอนการทดสอบ</span><br /><img style="float:right; margin:0 0 10px 10px;" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhiEKZJD436QQPZOzakGYAN6ZZMiHZ0pEI0hm-s-SqCHfGtYUXKSdJGWSLiD2CKZMNzTyUE8v29PbPtWWrFipzgmghTWoH_wwCZe_z_RFHgnzAtki_C7SYH9gktzCuxobzbVQJp3A-xt6U/s1600/MA2.jpg" border="0" alt="การตักตัวอย่างครีมเพื่อทดสอบปรอทแอมโมเนีย" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5605520272503034434" width="200" />1. ใช้แท่งแก้วตักตัวอย่างครีมทีละน้อย (การใช้อุปกรณ์อื่นตักตัวอย่างครีม จะให้ผลที่คลาดเคลื่อนได้) และหย่อนครีมลงสู่ก้นหลอดทดลองให้ได้ตัวอย่างประมาณ 3-5 กรัม (หรือประมาณเมล็ดถั่วลิสง)โดยระวังไม่ให้ตัวอย่างเปื้อนบริเวณข้างหลอดทดลองด้านใน ที่ไม่ใช่บริเวณก้นหลอดทดลอง<br /><br />2. เทสารเคมี 1 ขวด ลงในหลอดทดลองจนหมดขวด<br /><br /><div><br /></div><div><br /><img style="float:right; margin:0 0 10px 10px;" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjKp8FAI3asWFCL0AL-AdWLVWVY0Imt0QeO_NiX1KJ3i8vlERybHRZSHXOw3Imrye8G3KWM0xDtwMeXdLr7gVQb4GC6GNd3n81P_bq2CUqUlMszyJ1V0rNDQgSKFpj0iqMErJvOm1jPI2k/s1600/MA3.jpg" border="0" alt="การเติมน้ำยาลงในตัวอย่างครีมเพื่อทดสอบหาปรอทแอมโมเนีย" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5605520514413015618" width="200" />3. ใช้กระบอกฉีดยาดูดน้ำยาปริมาตร 5 มิลลิลิตร ใส่ในหลอดทดลอง<br /><br />4. หยดน้ำยา 2-3 หยด ลงบนกระดาษลิตมัส 1ชิ้น ให้พอเปียกชื้นประมาณ 3 ใน 4 ของความยาวกระดาษลิตมัส<br /><br /></div><div><br /></div><div><br /></div><div><br /></div><div><br /></div><div><br /><img style="float:right; margin:0 0 10px 10px;" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg97eV3rEKPIgkUbeOFZ5HXtytu-KcMZzy5kP6VAGezDlUmxGINCFzQX7LiemtR5SSAuKZUObX8OWD0wbfTbiI_6fw0zxZrW4okWF_ApykQXnyzHI2f09Uy884N-gpwYUn_QFMIeVhL1a0/s1600/MA4.jpg" border="0" alt="การทดสอบปรอทแอมโมเนีย โดยชุดทดสอบของกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5605521952924728514" width="200" />5. ปิดหลอดทดลองให้สนิทด้วยจุกยาง โดยมีกระดาษลิตมัสที่ทำให้เปียกชื้นแล้วเสียบห้อยอยู่ภายใน โดยให้ส่วนที่เปียกชื้นอยู่ด้านในของหลอดทดลอง<br /><br />6. นำหลอดทดลองไปแกว่งเบาๆ ตลอดเวลาในน้ำร้อน ประมาณ 5-10 นาที เพื่อให้ครีมละลายผสมกับสารเคมี<br />ไม่ควรแกว่งหลอดแรงจนของเหลวกระเด็นถูกกระดาษลิตมัส ระมัดระวังไม่ให้กระดาษลิตมัสสัมผัสกับหลอด<br /><br /><span style="font-weight:bold;">การอ่านผล</span><br />ผลบวก (พบสารปรอทแอมโมเนียในตัวอย่างครีม) : กระดาษลิตมัสที่อยู่ด้านในหลอดจะเปลี่ยนสี จากสีเหลืองเป็น สีเขียวอ่อนหรือเขียวเข้ม ถึงสีน้ำเงิน ขึ้นอยู่กับปริมาณปรอทแอมโมเนียที่มีในตัวอย่าง<br />ผลลบ (ไม่พบสารปรอทแอมโมเนียในตัวอย่างครีม) : กระดาษลิตมัสไม่เปลี่ยนสี<br /><br /><span style="font-weight:bold;">วีดีโอ การทดสอบปรอทแอมโมเนียนในครีมทาหน้า ด้วยชุดทดสอบของกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์</span><br />เผยแพร่โดย uckkpho@youtube.com<br /><br /><center><iframe width="425" height="349" src="http://www.youtube.com/embed/dCMkVr4RY9U?rel=0" frameborder="0" allowfullscreen=""></iframe></center><br /><br /></div>Unknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-9142286261588882554.post-70452317339736683492011-05-10T09:56:00.000-07:002011-05-10T13:00:14.969-07:00วิธีทดสอบสารอันตรายในเครื่องสำอาง How to Test Hazardous Materials in Cosmetic<span style="font-weight:bold;">สารอันตรายที่กระทรวงสาธารณสุข ได้ประกาศห้ามใช้ ใีนการผลิตเครื่องสำอาง</span> ที่สำคัญและมีบทบาทก่อให้เกิดอันตรายทั้งด้านผิวพรรณ และ สุขภาพ ได้แก่<br /><br /><div><br /><img style="float:right; margin:0 0 10px 10px;" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjCGiVBOAAFY1dER-nG8Ce2SGYDxw-U-b-pgf3B8iUkW2wIz56qYtvUlckxn9DBdBFP0mfypWuhnrdcqJ8osZIDCzZyX24krpDHctCp_ICVKAAmTAZcYhJ49susnSn2AwyoaK42DEgssE4/s1600/hydroquinone.png" border="0" alt="" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5605176772789135650" /><div style="text-align: justify;">1. <b>สารไฮโดรควิโนน </b>ในครีมทาฝ้า มีฤทธิ์ในการยับยั้งกระบวนการสร้างเม็ดสีของผิวหนัง(เมลานิน) ทำให้หน้าขาวขึ้น แต่เป็นการลดการสร้างเมลานินเพียงชั่วคราวเท่านั้น หากหยุดใช้ครีมทาฝ้าดังกล่าว สีผิวจะกลับเป็นอย่างเดิมหรือเป็นมากกว่าเดิม ข้อดีของสารไฮโดรควิโนนคือ ไม่ทำลายเซลล์สร้างสี แต่มักทำให้เกิดการระคายเคือง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อใช้ร่วมกับกรดวิตามินเอ และหากใช้ไฮโดรควิโนนติดต่อกันเป็นเวลานานเกินกว่า 6 เดือน จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของเนื้อเยื่อภายในผิวหนังทำให้เกิดเป็นฝ้าถาวรสีน้ำเงินอมดำ ซึ่งอาจเกิดจากการที่ผิวหนังมีการปรับตัวให้สร้างเม็ดสีมากขึ้น</div><div style="text-align: justify;"><br /></div><div style="text-align: justify;"><a href="http://brand-beauty.blogspot.com/2011/05/hydroquinone-cosmetic-testing.html" target="_blank" title="คลิกที่นี่เพื่ออ่านวิธีตรวจสอบสารอันตรายในเครื่องสำอาง ไฮโดรควิโนน"><u>วิธีตรวจสอบสารไฮโดรควิโนนในเครื่องสำอาง</u></a></div><div><br /></div><div><br /></div><br /><table align="right"><tbody><tr><td><img style="float:right; margin:0 0 10px 10px;" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhC_VFFGu15UqjvQeuk_crTUb9nGJ90oXKqryg4V-LKhW9d-kIKms7GJSvTidP0UZOo7LXYzFX82qkDbvlNzRmFIZnH1Su5SRMsdqqodSCRrfywKrPfRkLTb6Vu3cWZFvvGM68oK5W6ZF4/s1600/Cream.jpg" border="0" alt="" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5605177131098457682" /></td></tr><tr><td>ภาพจาก เอกสารภาพนิ่ง<br />ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 1<br />จังหวัดตรัง</td></tr></tbody></table><div style="text-align: justify;">2. <b>สารปรอทแอมโมเนีย</b> ในครีมทาป้องกันฝ้า หรือ เรียกกันว่าครีมไข่มุก นั้น จะออกฤทธิ์ในการลดการสร้างเม็ดสีของผิวหนัง ทำให้ใบหน้าขาวขึ้น แ่ต่อาจทำให้เกิดอาการแพ้ มีผื่นแดง ผิวหน้าดำ เมื่อหยุดใช้ ผิวบางลงได้ และหากใช้ผลิตภัณฑ์ที่มี่สวนผสมของปรอทแอมโมเนียติดต่อกันเป็นเวลานาน จะทำให้มีการสะสมปรอทในผิวหนัง และดูดซึมเข้าสู่กระแสโลหิต ทำให้ตับ และไตพิการ โรคโลหิตจาง ทางเดินปัสสาวะอักเสบ เป็นต้น</div><div style="text-align: justify;"><br /></div><div style="text-align: justify;">วิธีการตรวจสอบปรอทแอมโมเนียในเครื่องสำอาง</div><br /><div><br /></div><div><br /><table align="right"><tbody><tr><td><img style="float:right; margin:0 0 10px 10px;" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjc-Pt9QWG3_xQuANeMkWhkvi7dyfA1QyFL01OfT8QIPaenHD1kXW0SlactGPm6qYL8j3pZtMVaRk5HvrFGmDpHgU4sxd0vpqVh8nIScwy0oQsdbHxXPVPzasR0kfxNdfm1SLdDOOErka4/s1600/Cream2.jpg" border="0" alt="" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5605177198759895314" /></td></tr><tr><td>ภาพจากแผ่นพับ<br />อันตรายเครื่องสำอาง<br />ผิดกฎหมาย รุ่นที่ 4<br />(ผลิต กันยายน 2553)</td></tr></tbody></table>3. <b>กรดวิตามินเอ (วิตามินเอแอซิด หรือ เรติโนอิกแอซิด หรือ เตรติโนอิน)</b> นิยมใช้ในการรักษาสิว มีฤทธิ์กระตุ้นการหลุดลอกของผิวหนังชั้นนอกอย่างรุนแรง และยังลดการยึดติดกันของเซลล์ผิวหนัง เมื่อเซลล์หลุดลอกออกได้ง่าย ก็จะทำให้การอุดตันของไขมันที่ผิวหนังลดลง จึงใช้รักษาสิวได้ แต่ต้องใช้ด้วยความระมัดระวังภายใต้คำแนะนำของแพทย์หรือเภสัชกร เพราะอาจทำให้ผู้ใช้เกิดอันตรายได้ เช่น หน้าแดง ระคายเคือง แสบร้อนรุนแรง ผิวหน้าลอก และอาจเป็นอันตรายต่อทารกในครรภ์ ดังนั้นกฎหมายจึงกำหนดให้กรดวิตามินเอเป็นสารที่ห้ามใช้ในเครื่องสำอาง หากผู้ใดลักลอบใส่ในเครื่องสำอางจะมีความผิดตามที่กฎหมายกำหนดค่ะ<br /><br />วิธีตรวจสอบกรดวิตามินเอในเครื่องสำอาง<br /><br /></div><div><br /><hr width="200"><br />ข้อมูลอ้างอิง :<br />1. หนังสือความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับสิ่งเป็นพิษ เล่ม 15 พ.ศ. 2544 กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข หน้า9-14.<br /><br /><a href="http://webdb.dmsc.moph.go.th/ifc_toxic/a_tx_1_001c.asp?info_id=55" target="_blank" title="สารทำให้ผิวขาว">ศูนย์ข้อมูลพิษวิทยา กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์</a><br /><br />2. <a href="http://www1.fda.moph.go.th/consumer/csma/csma.nsf/e47f664a40dc0fc68025679a004b8a83/4923343c9f82425e47256f6d002e405c?OpenDocument" target="_blank" title="กรดวิตามินเอ">สายด่วนอย. เมนู 1024 เรื่อง วิตามินเอ และกรดวิตามินเอ ต่างกันอย่างไร</a><br /><br />3. เอกสารภาพนิ่ง ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 1 จังหวัดตรัง<br /><a href="https://docs.google.com/viewer?url=http%3A%2F%2Fwww.dmsc.moph.go.th%2Fwebroot%2Ftrang%2FWEB%2520KM%2FKM53%2F%25E0%25A4%25C3%25D7%25E8%25CD%25A7%25CA%25D3%25CD%25D2%25A7.ppt" target="_blank">อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่นี่่ค่ะ</a><br /></div></div><div><br /></div><div><br /></div>Unknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-9142286261588882554.post-3148187394000856242011-05-03T19:13:00.000-07:002013-02-07T09:39:40.042-08:00สูตรสปามะละกอ ปราบสิว เพิ่มสวยวันทำงาน Papaya Spa Treatment DIY<img style="float:right; margin:0 0 10px 10px; width: 200px; height: 160px;" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjICbSm8aqoc06nS7P88ihQFWzMPAw6sCTRvu76-yi0f4-FNEf_v9EYIuFFwVmzMU6eUoWDuds6mmR3UW2qcu9226-YRwBKAeLHo6Uv0QhK3KbbFrykibY5JZTaxHHPva9hcWUawQtABMA/s1600/papaya2.jpg" border="0" alt="" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5602681083942134802" /><div style="text-align: justify;">วันนี้ได้หยิบหนังสือชีวจิต ปักษ์แรก เดือนพฤษภาคม มาอ่าน (จริง ๆ ได้มาหลายวันแล้ว...เพิ่งจะได้อ่าน <span style="font-size:large; color:lightblue;">☻</span> ) มีบทความที่น่่าสนใจมาก ๆ ค่ะ สปามะละกอปราบสิว ลองอ่านดูวิธีการแล้วน่าจะได้ผลนะ...หุ หุ</div><div style="text-align: justify;"><br /></div><div style="text-align: justify;">โดยในบทความเขาได้บอกคุณประโยชน์ของมะละกอ ไว้ดังนี้ค่ะ</div><div style="text-align: justify;"><br /></div><div style="text-align: justify;">มะละกอสุกเนื้อหวาน เป็นแหล่งวิตามินเอ และ ซี เมื่อนำมาขัดใบหน้าเบา ๆ สัปดาห์ละครั้ง จะช่วยขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วไม่ให้อุดตันรูขุมขน ซึ่งเป็นสาเหตุของสิวเสี้ยน สิวหัวดำ สิวหัวช้าง ฯลฯ ขณะเดียวกันก็ช่วยบำรุงผิวหน้าให้นุ่มชุ่มชื้นขึ้น</div><div style="text-align: justify;"><br /></div><div><div style="text-align: justify;">เพื่อเสริมสุขภาพใบหน้าแบบเพลินอารมณ์ ทางชีวจิต เขาจึงมีสูตรสปามะละกอ มาฝากค่ะ</div><br /><img style="float:right; margin:0 0 10px 10px; height: 195px;" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi_p8R8JhBa4EbCsRTMEOyTXvC3eSmkfh1bNNbB68GIe0Cv3ksgrLdW4SusHNLqbuf8_5us8LgA1X83B3cmMFbqNXnvDMIc0K5qAMUfzAAXJHwnDHWCIEtaw-s3CbP4wy2f-BJWG0eO0ao/s1600/Mint-Crop.jpg" border="0" alt="" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5602685874813618482" /><br />วิธีทำ<br />1. ผ่ามะละกอสุกออกเป็นชิ้นเล็ก ๆ 4 ชิ้น ตามยาว ปาดเนื้อมะละกอออก เหลือเนื้อติดเปลือก ไว้พอประมาณ เตรียมไว้<br />2. เทน้ำอุ่นใส่อ่างน้ำขนาดกลาง ใส่ใบสะระแหน่สด หรือ แห้ง ลงไป 1 หยิบมือ ตามด้วยน้ำมันหอมระเหยกลิ่นมิ้นต์ 2-3<br />หยด ผสมให้เข้ากัน<br />3. ก้มหน้าไปอังไอน้ำเหนืออ่าง ให้ไอน้ำระเหยถึง ใช้ผ้าคลุมศีรษะและอ่างไว้ โดยเปิดช่องระบายอากาศไว้เล็กน้อย<br />4. ขัดใบหน้าเบา ๆ ด้วยเปลือกมะละกอสุก (ใช้ส่วนด้านในที่ติดเนื้อ) ให้ทั่วใบหน้า จากนั้น ล้างหน้าให้สะอาดแล้วซับหน้าให้แห้ง</div><div><br /></div><div><br />สูตรนี้เพื่อน ๆ ไปทดลองดูแล้วได้ผลประการใด มาเล่าสู่กันฟังบ้างนะคะ</div><div><br /></div><div>ส่วนตัวผู้เขียนเอง ใบหน้าไร้สิว (เหลือแต่ฝ้า <span style="font-size:large; color: rgb(173, 216, 230); ">☻</span> ) มาร่วม สองปี แล้วค่ะ ด้วย<a href="http://www.kolseeds.com/2010/07/top-papaya-herbal-soap.html" target="_blank" title="สบู่มะละกอ ฟิลิปปินส์">สบู่มะละกอ</a> เหมือนกัน </div><div><br /><br /><hr width="200"/><br />ที่มา<br />นิตยสารชีวจิต ฉบับที่ 302 ปีที่ 13 : 1 พฤษภาคม 2554<br /><br /></div><div><br /></div><div><br /></div>Unknownnoreply@blogger.com2tag:blogger.com,1999:blog-9142286261588882554.post-10843542066685085882011-05-01T11:40:00.000-07:002011-05-11T09:35:52.402-07:00วิธีการตรวจสอบสารไฮโดรควิโนน ในเครื่องสำอาง อย่างง่าย ๆ ด้วยตัวเอง Hydroquinone Cosmetic Testing<a href="http://brand-beauty.blogspot.com/2011/05/how-to-test-hazardous-materials-in.html" title="สารอันตรายในเครื่องสำอาง" target="_blank">การตรวจสอบสารอันตรายในเครื่องสำอาง</a>>วิธีตรวจสอบสารไฮโดรควิโนน<br /><br /><img style="float:right; margin:0 0 10px 10px;" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiahaH6MNEaA4mkEVdfS1pX4J9wtqVpFh8HSv2Wo0LN2e4MPeg5tkN0Omm51_RaKyHfU_tWec6-0kqPajJpbXvQ-lRnKqcOoFCQOocYz_YA86LGxvLMFukLnKgpOEauZjR-qRPcWMFc_w0/s1600/200px-Hydrochinon2svg.png" /><br /><div style="text-align: justify;"><b>การตรวจสอบว่าผลิตภัณฑ์นั้นมีส่วนผสมของไฮโดรควิโนนหรือไม่</b></div><div style="text-align: justify;"><br /></div><div style="text-align: justify;">ผลิตภัณฑ์อันตรายที่อ้างว่าทาฝ้า ทําให้หน้าขาว อาจพบว่ามีการลักลอบผสมไฮโดรควิโนน ซึ่งเป็นวัตถุที่ห้ามใช้เป็นส่วนผสมในการผลิตเครื่องสําอาง ผลิตภัณฑ์ที่มีสารไฮโดรควิโนนผสมอยู่ อาจส่งผลให้ เกิดอาการแพ้ระคายเคือง เกิดจุดด่างขาวที่หน้า ผิวหน้าดำ เป็นฝ้าถาวร รักษาไม่หาย<br /></div><div style="text-align: justify;"><br /></div><div style="text-align: justify;"><b>วิธีทดสอบอย่างง่าย</b></div><div style="text-align: justify;"><br /></div><div style="text-align: justify;">1. หยดหรือป้ายเครื่องสําอางที่สงสัยลงบนกระดาษทิชชูสีขาว แล้วหยด <b>0.1 N Sodium Hydroxide Solution </b>ลงไปในบริเวณรอยเครื่องสำอาง ทิ้งไว้สักครู่ </div><div style="text-align: justify;"><br /></div><div style="text-align: justify;">หากสีเครื่องสำอาง เปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล แสดงว่า อาจมีส่วนผสมของไฮโดรควิโนน</div><div style="text-align: justify;"><br /></div><div style="text-align: justify;">2. <b>ใช้น้ำผงซักฟอกเข้มข้น</b> โดยใช้ผงซักฟอกละลายในน้ำปริมาณเล็กน้อย ผสมกับน้ำ เพื่อให้ได้น้ำผงซักฟอกเข้มข้น นำน้ำผงซักฟอกที่ได้มาหยด ลงบนรอยเครื่องสำอาง ทิ้งไว้สักครู่</div><div style="text-align: justify;"><br /></div><div style="text-align: justify;">หากสีเครื่องสำอาง เปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล แสดงว่า อาจมีส่วนผสมของไฮโดรควิโนน</div><div style="text-align: justify;"><br /></div><div style="text-align: justify;">3. <b>กรณีที่เนื้อครีมมีความข้นเหนียว</b> ให้ละลายเนื้อครีมในแอลกอฮอล์ (ใช้เพียงเล็กน้อย)ให้เนื้อครีมอ่อนเหลวลง เสียก่อน จากนั้นจึงนำเนื้อครีมที่ได้มาหยดลงบนกระดาษทิชชู แล้งจึงทดสอบด้วย สารละลายโซเดียมไฮดรอกไซด์ ตามข้อ 1 หรือ น้ำผงซักฟอก ตามข้อ 2</div><div style="text-align: justify;"><br /></div><div style="text-align: justify;">การทดสอบนี้ เป็นการทดสอบเบื้องต้นอย่างง่าย ๆ โดยใช้หลักการ การเปลี่ยนสีของสารไฮโดรควิโนนเป็นสีน้ำตาล เมื่อมีสภาพเป็นด่าง อย่างไรก็ตาม<b> เืพื่อความชัดเจนถูกต้อง ควรใช้ ชุดเครื่องมือตรวจสอบ ของกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ หรือ เก็บตัวอย่างส่งตรวจวิเคราะห์</b> และท่านสามารถแจ้งผลิตภัณฑ์ที่สงสัยว่าจะมีสารไฮโดรควิโนน โดยโทรแจ้งสำนักคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ที่หมายเลข โทร.0-2590-7354 ถึง 5 หรือที่สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดทุกแห่ง</div><div style="text-align: justify;"><br /></div><div style="text-align: justify;"><br /><br /><span style="font-weight:bold;">การใช้ชุดทดสอบ สารไฮโดรควิโนน ในเครื่องสำอาง ของกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์</span><br /><br /><span style="font-weight:bold;">หลักการ :</span> สารเคมีที่ใช้ในการทดสอบจะทำปฏิกิริยากับไฮโดรควิโนน ให้ สีเขียว ถึง สีน้ำเงินดำ<br /><br /><span style="font-weight:bold;">ปริมาณต่ำสุดของสารไฮโดรควิโนนที่ตรวจพบได้</span><br />0.006 % w/w ในครีมเหนียว<br />0.014 % w/w ในโลชั่น<br /><br />ชุดทดสอบสารไฮโดรควิโนน ของกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ 1 ชุด สามารถตรวจได้ 20 ตัวอย่าง<br /><br /><br /><span style="font-weight:bold;">อุปกรณ์ประกอบด้วย</span><br /><br />1. จานหลุม<br />2. ขวดสารเคมี<br />3. ก้านไม้ปลายแบน<br />4. ก้านพลาสติกปลายแบน<br />5. หลอดหยดพลาสติก<br /><br /></div><div style="text-align: justify;"><br /><b>วิธีการตรวจสอบ</b><br />1. ใช้ก้านพลาสติกตักสารเคมีขนาดเท่าเมล็ดถั่วเขียวใส่ลงในจานหลุมพลาสติก<br /><table><tbody><tr><td><img src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh-pjwixN1o8XWS2koBb7Ot-jJOJJNVPXPYQonLNM-TUrORUeGQDjPe1-k9Dodx8HH1kjl_0765DYM8RwoOvz2ZVPIO5BM_AmrMxldjF6WI_A3h1WW3lIm9uEj9hH8d-BaL7MBnLgQHzG8/" border="0" width="200" /></td></tr><tr><td style="text-align: left;">ภาพจาก เอกสารภาพนิ่ง <span class="Apple-style-span" style="font-size: 16px; -webkit-border-horizontal-spacing: 0px; -webkit-border-vertical-spacing: 0px; ">ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 1 จังหวัดตรัง</span><br /><br /></td></tr></tbody></table>2. ใช้ก้านไม้ปลายแบนตักครีมตัวอย่างขนาดครึ่งเมล็ดถั่วลิสงลงในหลุมสารเคมี (กรณีที่ตัวอย่างเป็นของเหลว ให้ใช้หลอดหยดพลาสติกดูดและหยดตัวอย่างประมาณ 3 หยด)<br /><br /><table style="text-align: left;"><tbody><tr><td><img src="https://lh6.googleusercontent.com/_qzrIdn9eSiE/TcaOqMOz4WI/AAAAAAAAA-4/s5eA5kGdKQU/HDQ2.jpg" border="0" width="200" /></td></tr><tr><td style="text-align: left;">ภาพจาก เอกสารภาพนิ่ง <span class="Apple-style-span" style="font-size: 16px; -webkit-border-horizontal-spacing: 0px; -webkit-border-vertical-spacing: 0px; ">ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 1 จังหวัดตรัง</span></td></tr></tbody></table><br />3. ใช้แท่งไม้ปลายแบนคนให้สารเคมีและตัวอย่างเข้ากันและสังเกตสีที่เกิดขึ้นภายใน 5 วินาที<br /><br /><table style="text-align: left;"><tbody><tr><td><img src="https://lh3.googleusercontent.com/_qzrIdn9eSiE/TcaOpo1CzYI/AAAAAAAAA-0/BGD2kShw2Q0/HDQ3.jpg" border="0" width="200" /></td></tr><tr><td style="text-align: left;">ภาพจาก เอกสารภาพนิ่ง <span class="Apple-style-span" style="font-size: 16px; -webkit-border-horizontal-spacing: 0px; -webkit-border-vertical-spacing: 0px; ">ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 1 จังหวัดตรัง</span></td></tr></tbody></table><br /><br /><span style="font-weight:bold;">การอ่านผล</span><br /><br />ผลบวก (พบสารไฮโดรควิโนน) : เกิดสีเขียวถึงสีน้ำเงินดำ<br />ผลลบ (ไม่พบสารไฮโดรควิโนน) : สีเดิมของตัวอย่าง สีน้ำตาล หรือสีเขียวอ่อนหลังจาก 5 วินาทีไปแล้ว<br /><br /><br /><span style="font-weight:bold;">วีดีโอ การใช้ชุดทดสอบกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ทดสอบสารไฮโดรควิโนน ในเครื่องสำอาง</span><br />เผยแพร่โดย uckkpho@youtube.com<br /><br /><br /><a name="hydroquinone-video"><center><iframe width="425" height="349" src="http://www.youtube.com/embed/j7-mEBinZCE?rel=0" frameborder="0" allowfullscreen=""></iframe></center></a><br /><br /><br /><br /></div><hr width="200" style="text-align: justify;"><br /><br />ที่มา : <div>1. เอกสารเผยแพร่ อย. อันตรายจากการใช้เครื่องสำอาง<br /><a href="http://www.oryor.com/oryor/admin/module/fda_info/file/f_18_1171704908.pdf" target="_blank" title="คลิกที่นี่เพื่อไปที่หน้าเอกสารเผยแพร่ อย. เรื่องอันตรายจากการใช้เครื่องสำอาง">ดาวน์โหลดได้ที่นี่ค่ะ</a></div><div><br /></div><div><a href="http://www.oryor.com/oryor/admin/module/fda_info/file/f_18_1171704908.pdf" target="_blank" title="คลิกที่นี่เพื่อไปที่หน้าเอกสารเผยแพร่ อย. เรื่องอันตรายจากการใช้เครื่องสำอาง"></a>2. เอกสารภาพนิ่ง ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 1<br /><a href="https://docs.google.com/viewer?url=http%3A%2F%2Fwww.dmsc.moph.go.th%2Fwebroot%2Ftrang%2FWEB%2520KM%2FKM53%2F%25E0%25A4%25C3%25D7%25E8%25CD%25A7%25CA%25D3%25CD%25D2%25A7.ppt" target="_blank">อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่นี่่ค่ะ</a><br /><br /><div><br /></div></div>Unknownnoreply@blogger.com4tag:blogger.com,1999:blog-9142286261588882554.post-22978623337799211442011-05-01T11:25:00.000-07:002011-05-10T07:21:29.111-07:00วิธีทดสอบการแพ้เครื่องสำอาง How to Test Allergy Cosmetic<img style="float:left; margin:0 10px 10px 0;cursor:pointer; cursor:hand;width: 198px; height: 200px;" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiW1e9xSO3TtsByZB33PT2foHEwRx-KoP2tCPXzlyk2nefn8rxc2FLwGl1nGXwlAcNZGiuH2IlPF5Yrswc6DdSmNGe-X5uOdEhLTcUbOmAwV99MzlUCOvfs4oJNkD3Rzpn-sIAAF6qvKCw/s1600/cosmetic-allergy.jpg" border="0" alt="" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5601818621020033538" /> <div style="text-align: justify;">วิีธีทดสอบการแพ้เครื่องสำอาง สามารถทำได้โดยทาผลิตภัณฑ์นั้นในปริมาณเล็กน้อยที่ท้องแขน หรือ หลังติ่งหู แล้วทิ้งไว้ 24-48 ชั่วโมง หากไม่มี <a href="http://brand-beauty.blogspot.com/2011/05/how-to-test-allergy-cosmetic.html#CosmeticAllergy"><u>ความผิดปกติใด ๆ</u></a> แสดงว่าใช้ได้หากใช้เครื่องสําอางใดแล้วมีความผิดปกติเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการใช้ครั้งแรก หรือใช้มาระยะหนึ่งแล้วก็ตาม ต้องหยุดใช้ทันทีถ้าหยุดใช้แล้วอาการไม่ดีขึ้นควรปรึกษาแพทย๋เพื่อหาสาเหตุและทําการรักษาต่อไป</div><div style="text-align: justify;"><br /></div><br /><div style="text-align: justify;"><a name="CosmeticAllergy"><b>อาการแพ้เครื่องสำอาง </b>ที่อาจเกิดขึ้น ::</a><br />1. เกิดอาการผื่นแดง ระคายเคือง คันยุบยิบ* เป็นผื่น<br />2. เกิดอาการแสบร้อนรุนแรง บวมแดง เกิดการอักเสบ<br />3. ผิวแห้งแตก ผิวหน้าลอกอย่างรุนแรง<br />4. เกิดอาการลมพิษ หรือ อาจมีอาการรุนแรง ถึง ขั้นเป็นแผลพุพอง<br /><br /><br />* อาการคันยุบยิบ หากเกิดเล็กน้อย อาจเป็นแค่อาการข้างเคียง แก้ไขโดยใช้ผลิตภัณฑ์ทาผิวในปริมาณที่น้อยลง<br /><br />อาการแพ้ข้างต้น อาจเกิดจากการแพ้สารอันตรายที่ห้ามใช้ในเครื่องสำอาง ตาม<a href="http://brand-beauty.blogspot.com/2011/05/oryor-notification-dangerous-cosmetics.html" target="_blank" title="คลิกที่นี่เพื่ออ่านรายละเอียดประกาศอย. เตือนภัย เครื่องสำอางอันตราย ปีล่าสุด"><u>ประกาศของอย.</u></a><br /><br /></div><div style="text-align: justify;"><br /><br /><hr width="200"><br /><br />ที่มา : เอกสารเผยแพร่ อย. อันตรายจากการใช้เครื่องสำอาง<br /><a href="http://www.oryor.com/oryor/admin/module/fda_info/file/f_18_1171704908.pdf" target="_blank" title="คลิกที่นี่เพื่อไปที่หน้าเอกสารเผยแพร่ อย. เรื่องอันตรายจากการใช้เครื่องสำอาง">ดาวน์โหลดได้ที่นี่ค่ะ</a><br /></div>Unknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-9142286261588882554.post-30066288740026252742011-05-01T07:41:00.000-07:002011-05-16T08:10:19.536-07:00รวมประกาศอย. เตือนภัย เครื่องสำอาง อันตราย พร้อมรูป Oryor Notification Dangerous Cosmetics<img src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhXF6RkySxGH-GKnsMhRf1V5jrUZFTLH0B86c1J1ZtMxZT3872641LAG20wOLzSWlmSWo4pErACcL_2zuqf7CXOYdYOy8vPd2vkhSpk8Ex4IRqKCqhexcoYSy9oFGjqWywW8A-CvHytSEc/s576/oryor-0.jpg" border="0" alt="ภาพจาก บทความ Fact Sheet เลือกเครื่องสำอางอย่างไร...ให้ปลอดภัยจากสารห้ามใช้" title="ภาพจาก บทความ Fact Sheet เลือกเครื่องสำอางอย่างไร...ให้ปลอดภัยจากสารห้ามใช้" /><br /><br />ข้อมูลจาก บทความ Fact Sheet เลือกเครื่องสำอางอย่างไร...ให้ปลอดภัยจากสารห้ามใช้<br /><br /><br /><div>สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.)(Food and Drug Administration) ได้ทำการเก็บตัวอย่าง เครื่องสำอาง ในท้องตลาด และได้ทำการตรวจวิเคราะห์ในห้องทดลอง และ ได้ประกาศเครื่องสำอางอันตราย ห้ามใช้และจำหน่าย สารอันตรายที่พบโดยส่วนใหญ่ในเครื่องสำอาง ต่าง ๆ ได้แก่</div><div><br /></div><div><a href="http://brand-beauty.blogspot.com/2011/05/hydroquinone-cosmetic-testing.html"><b>สารไฮโดรควิโนน</b></a> อาจทำให้ เกิดอาการแพ้ระคายเคือง เกิดจุดด่างขาวที่หน้า ผิวหน้าดำ เป็นฝ้าถาวร รักษาไม่หาย</div><div><br /></div><div><b>สารประกอบของปรอท</b> อาจทำให้เกิดอาการแพ้ ผื่นแดง ผิวหน้าดำ ผิวบางลง เกิดพิษสะสมของปรอท ทำให้ทางเดินปัสสาวะอักเสบ และ ไตอักเสบ</div><div><br /></div><div><b>กรดวิตามินเอ (เรทิโนอิก)</b> อาจทำให้หน้าแดง แสบร้อน รุนแรง เกิดอาการอักเสบ ผิวหน้าลอกอย่างรุนแง และ อาจเป็นอันตรายต่อทารกในครรภ์</div><div><br /></div><div><br /></div><div>อย.ได้ทำการเผยแพร่ เครื่องสำอางอันตราย พบสารห้ามใช้ ลงบนแผ่นพับ ดังต่อไปนี้</div><div><br /><br /><br /><a href="http://www.fda.moph.go.th/News53/BROCHURE.PDF" title="คลิกที่ภาพเพื่อชมภาพขยาย แผ่นพับอย. เครื่องสำอางอันตราย กันยายน 2553 " target="_blank" onblur="try {parent.deselectBloggerImageGracefully();} catch(e) {}"><img style="display:block; margin:0px auto 10px; text-align:center;cursor:pointer; cursor:hand;width: 576px; height: 156px;" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhKa7tafyHQGH3KXQYcxsELQR82BDxajydvahJWbNpk0nh4e372PcjZTAGJceMUZK7mxkdixduoc01L_QTQMwAARE2NKtqHBY7JuDUKZ_eCDlnM9d5AVkYsMc1gzVV_6PZUtHJixoQlyMY/s720/oryor-1-6.jpg" border="0" alt="แผ่นพับอย. เครื่องสำอางอันตราย กันยายน 2553" /></a><div style="text-align: center;">แผ่นพับอย. เครื่องสำอางอันตราย กันยายน 2553</div><div style="text-align: center;">(คลิกที่ภาพเพื่อดูภาพต้นฉบับ file PDF)</div><div style="text-align: center;"><br /></div><br /><a href="http://www.fda.moph.go.th/News53/BROCHURE.PDF" title="คลิกที่ภาพเพื่อชมภาพขยาย รายชื่อเครื่องสำอาง 34 รายการตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข ห้ามผลิต นำเข้า หรือขาย ประกาศ ณ วันที่ 31 มีนาคม 2552 และ ฉบับที่ 2 ประกาศ ณ วันที่ 16 ตุลาคม 2552" target="_blank" onblur="try {parent.deselectBloggerImageGracefully();} catch(e) {}"><img style="display:block; margin:0px auto 10px; text-align:center;cursor:pointer; cursor:hand;width: 400px; height: 299px;" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEitwBM9ZH1zbdUmmdyOfwWS2cSPFw2v2ReeuIrhUBrEoHJFOwOnijvcvZ8LC0oDqVrIvMT4YoIuukNwBBlwtHw_Xorm1V8dpbBXgkjNf6WPEpZdcrITmYWpSxznqiHPLJBcbkUqWvzEN1w/s640/oryor-2-6.jpg" border="0" alt="" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5601788386253598946" /></a><div style="text-align: center;">รายชื่อเครื่องสำอาง 34 รายการตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข ห้ามผลิต นำเข้า หรือขาย ประกาศ ณ วันที่ 31 มีนาคม 2552 และ ฉบับที่ 2 ประกาศ ณ วันที่ 16 ตุลาคม 2552</div><div style="text-align: center;">(คลิกที่ภาพเพื่อดูภาพต้นฉบับ file PDF)</div><div style="text-align: center;"><br /></div><br /><a href="http://www.fda.moph.go.th/News53/BROCHURE.PDF" target="_blank" title="คลิกที่ภาพเพื่อชมภาพขยาย แผ่นพับ อย. อันตรายเครื่องสำอาง ผิดกฏหมาย ตุลาคม 2551 แผ่นที่ 1" onblur="try {parent.deselectBloggerImageGracefully();} catch(e) {}"><img style="display:block; margin:0px auto 10px; text-align:center;cursor:pointer; cursor:hand;width: 400px; height: 232px;" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiZMLeDE6kTfkZILGeUZypFiOtP2GZF34vyL_IGILv8yVW7xZgeONWE_cgqvViJGv0MFcwDyKQUR3NOpv4KHsKG0PshEgpUTgFzv6-5QXrBWaiVepdT_L_izeq-qBRrbtBBSb22iL-jvoM/s720/oryor-3-6.jpg" border="0" alt="" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5601792158595681938" /></a><div style="text-align: center;">แผ่นพับ อย. อันตรายเครื่องสำอาง ผิดกฏหมาย ตุลาคม 2551 แผ่นที่ 1</div><div style="text-align: center;">(คลิกที่ภาพเพื่อดูภาพต้นฉบับ file PDF)</div><div style="text-align: center;"><br /></div><br /><a href="http://www.fda.moph.go.th/News53/BROCHURE.PDF" target="_blank" title="คลิกที่ภาพเพื่อชมภาพขยาย แผ่นพับ อย. อันตรายเครื่องสำอาง ผิดกฏหมาย ตุลาคม 2551 หน้าที่ 2" onblur="try {parent.deselectBloggerImageGracefully();} catch(e) {}"><img style="display:block; margin:0px auto 10px; text-align:center;cursor:pointer; cursor:hand;width: 400px; height: 232px;" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhx-6qI0I8XsINQm4mUFNs6fbCO6Ur9NS953qfCEjRLBR6FYidZ_mEjhdstKZoK5rYpaH_60PkjaqdYuIyA_Tsd8yQCSgySOuJPWbZZPhm35PURUf1bOt2Oq9QNW8UcKnK-wnWVuMLyIr0/s720/oryor-4-6.jpg" border="0" alt="" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5601793666099443250" /></a><div style="text-align: center;">แผ่นพับ อย. อันตรายเครื่องสำอาง ผิดกฏหมาย ตุลาคม 2551 หน้าที่ 2</div><div style="text-align: center;">(คลิกที่ภาพเพื่อดูภาพต้นฉบับ file PDF)</div><div style="text-align: center;"><br /></div><br /><a href="http://www.fda.moph.go.th/News53/BROCHURE.PDF" title="คลิกที่นี่เพื่อชมภาพขยาย แผ่นพับอย. อันตรายเครื่องสำอางผิดกฏหมาย เมษายน 2552 แผ่นที่ 1" target="_blank" onblur="try {parent.deselectBloggerImageGracefully();} catch(e) {}"><img style="display:block; margin:0px auto 10px; text-align:center;cursor:pointer; cursor:hand;width: 400px; height: 230px;" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiUuvgs0NG4OQ9p-DQadjOoZ3Ku3Gq5ozChBlDKbZLgdjqLfMUa7BGxOnDTRaCQqW6wYYc1TJvVgD1hvjkt2i77MKdf9YPmTv93sseT0XTXGWCuoXUFQY5UvAh-941T1bUeZDGxhqHYGbU/s720/oryor-6-6.jpg" border="0" alt="" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5601795570483751794" /></a><div style="text-align: center;">แผ่นพับอย. อันตรายเครื่องสำอางผิดกฏหมาย เมษายน 2552 แผ่นที่ 1</div><div style="text-align: center;">(คลิกที่ภาพเพื่อดูภาพต้นฉบับ file PDF)</div><div style="text-align: center;"><br /></div><br /><a href="http://www.fda.moph.go.th/News53/BROCHURE.PDF" target="_blank" title="คลิกที่นี่เพื่อชมภาพขยาย แผ่นพับอย. อันตรายจากเครื่องสำอางผิดกฏหมาย เมษายน 2552 แผ่นที่ 2" onblur="try {parent.deselectBloggerImageGracefully();} catch(e) {}"><img style="display:block; margin:0px auto 10px; text-align:center;cursor:pointer; cursor:hand;width: 400px; height: 229px;" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiGPA_GUs5qK9ErKZEmOdJ0kHGuv37Y3mVnXbTWI3iSQYOPI4kvoar85GaHC2MKQofFm1wHcvxKpKG-8Gn1pPUhZYgvyCDCuxZodH0WNRDhF2GqqD5PyHZxbqizXwjtpZy9a_gB8eDOVmA/s720/oryor-5-6.jpg" border="0" alt="" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5601796118639103074" /></a><div style="text-align: center;">แผ่นพับอย. อันตรายจากเครื่องสำอางผิดกฏหมาย เมษายน 2552 แผ่นที่ 2</div><div style="text-align: center;">(คลิกที่ภาพเพื่อดูภาพต้นฉบับ file PDF)</div><div style="text-align: center;"><br /></div><div style="text-align: center;"><br /></div>ประกาศอย. เรื่อง ผลการตรวจสอบหรือวิเคราะห์เครื่องสำอางที่พบสารห้ามใช้ มิถุนายน 2553- 2 กุมภาพันธุ์ 2554<br /><a href="http://www.fda.moph.go.th/News53/cosmetic/Index.html" target="_blank" title="ประกาศอย. เตือน เครื่องสำอางอันตราย ล่าสุด 2010-2011">อ่านประกาศอย.เตือนเครื่องสำอางอันตราย ล่าสุด<br />ได้ที่นี่ ค่ะ</a><br /><br /><hr align="left" width="200"><br />ข้อมูลอ้างอิง<br />1. เอกสารแฟคชีท อย. เรื่อง "เลือกเครื่องสำอางอย่างไร...ให้ปลอดภัยจากสารห้ามใช้"<br /><a href="http://www.oryor.com/oryor/admin/module/fda_fact_sheet/file/f_132_1285820259.pdf" title="_blank">ดาวน์โหลดเอกสารได้ที่นี่่ค่ะ</a><br /><br />2. แผ่นพับ เครื่องสำอางอันตราย<br /><div><a href="http://www.fda.moph.go.th/News53/BROCHURE.PDF" target="_blank" title="คลิกที่นี่เพื่อดาวน์โหลดไพล์รวมแผ่นพับ ประกาศอย. เตือนเครื่องสำอางอันตราย">ดาวน์โหลดได้ที่นี่ค่ะ</a><br /><br /><br /></div></div>Unknownnoreply@blogger.com2